7.28.2551

“คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” โดย อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์

นางสาวทิพวรรณ เศละพฤกษ์กุล

รัฐสวัสดิการ vs รัฐทุนนิยม

บทความนี้ถูกเขียนขึ้นครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษโดยอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่นำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาการพัฒนาเอเชียตะวันออกไกล (Southeast Asian Development Advisory Group - SEADAG) เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 และต่อมาได้ถูกแปลมาเป็นภาษาไทยในชื่อ คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ซึ่งโดยเนื้อหาแล้ว เป็นการเรียกร้องในสิ่งที่รัฐควรจะจัดสรรบริการหรือสวัสดิการด้านต่างๆให้แก่ประชาชน รวมถึงความช่วยเหลือหรือสวัสดิการที่มนุษย์คนหนึ่งพึงมีเมื่อเขาอยู่ในท้องแม่จนกระทั่งตาย


เริ่มต้นจากสิทธิที่แม่เขาควรจะได้รับการดูแลอย่างดีเมื่อเริ่มตั้งครรภ์ สิทธิในการเข้ารับการศึกษาเมื่อเขาโตพอ ไม่ว่าผู้เป็นพ่อและแม่จะรวยหรือยากจนก็ตาม เมื่อเขาเรียนจบ เขาก็ควรจะมีสิทธิ์ที่จะได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และสังคมที่เขาอยู่ก็จะต้องมีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีการข่มขู่หรือประทุษร้ายกัน และหากเขาเป็นกรรมกร เขาก็ควรจะไม่ถูกขูดรีดจากนายทุน และเมื่อใดที่เขาไม่สบาย เขาก็จะต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดี เมื่อเขาแก่ เขาก็ควรจะได้รับเงินช่วยเหลือจากประกันสังคม และหากเขาจะตาย เขาก็ไม่ควรที่จะตายเพราะเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หรือเรื่องที่ผู้อื่นเป็นผู้ก่อ เช่น สงครามกลางเมือง อากาศเป็นพิษ และเมื่อเขาตาย มรดกของเขาก็ควรแบ่งให้ลูกที่ยังเล็ก โดยแบ่งให้พอเหมาะพอใช้จนกว่าลูกเขาจะโต ส่วนเงินที่เหลือ รัฐบาลก็ควรจะเก็บไปเพื่อใช้บำรุงชีวิตคนอื่นต่อไป แต่ใช่ว่าเขาจะเรียกร้องความดูแลจากรัฐเพียงอย่างเดียว แต่เขาก็พร้อมที่จะจ่ายภาษีให้แก่รัฐตามอัตภาพด้วยเช่นกัน



โดยเนื้อหาสาระแล้ว การเรียกร้องต่อรัฐของคนๆหนึ่งในบทความนี้ที่ต้องการให้รัฐมาดูแลในด้านต่างๆ เพื่อให้ชีวิตไม่มีความเสี่ยงมากนัก ซึ่งสาระสำคัญสอดคล้องกับประเด็นในเรื่องแนวคิดพัฒนาในรูป รัฐสวัสดิการ กล่าวคือ

1. เป็นระบบที่ครอบคลุมครบวงจรตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายโดยผ่านระบบสวัสดิการต่างๆ โดยผ่านสวัสดิการที่สำคัญ 4 อย่าง คือ ระบบการศึกษา ระบบรักษาพยาบาล การแก้ปัญหาการว่างงานและการให้เงินสงเคราะห์คนชรา


2. เป็นสวัสดิการถ้วนหน้าไม่ว่าคนรวยหรือคนจนย่อมได้รับสิทธิ์ ทำให้ประชาชนมีความมั่นคงในปัจจัยพื้นฐานของชีวิตมากขึ้น


3. เป็นระบบสวัสดิการภายใต้รัฐ


4. เป็นระบบสวัสดิการที่อาศัยงบประมาณจากการเก็บภาษี โดยเป็นการเก็บภาษีทางตรงคือ ใครมีทรัพย์สินมาก ก็ต้องจ่ายภาษีมากโดยเน้นเก็บภาษีสองตัวเป็นหลักคือภาษีที่ดินและภาษีมรดก เพราะภาษีเหล่านี้เป็นตัวก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้



เราอาจเรียกแนวคิดรัฐสวัสดิการว่าเป็นแนวคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากการพัฒนากระแสหลัก กล่าวคือ แนวคิดรัฐสวัสดิการถูกผลักดันให้เกิดขึ้นโดยสำนักสังคมนิยมประชาธิปไตย โดยครั้งแรกจากการเรียกร้อง ของชนชั้นกรรมาชีพในยุโรปตะวันตก ซึ่งตัวทฤษฎีและรูปแบบได้ค่อยๆ สั่งสมและขยายตัวขึ้นโดยมีการกดขี่ขูดรีดของระบบทุนนิยมเป็นตัวกระตุ้นซึ่งก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมในชีวิตประชาชนจำนวนมาก การพัฒนาในแนวนี้ที่เน้นให้เกิดความเท่าเทียม ดูแลชีวิตขั้นพื้นฐานรวมถึงสร้างความมั่นคงและลดปัจจัยเสี่ยงให้แก่ชีวิตประชาชนโดยผ่านรัฐจึงเกิดขึ้นและพัฒนาจนได้รับการยอมรับมากขึ้นในปัจจุบัน


แต่ถึงแม้จะกล่าวว่า รัฐสวัสดิการ เกิดขึ้นจากผลของทฤษฎีการพัฒนากระแสหลักที่เน้นทุนนิยมจนก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันนั้น สำหรับในแง่มุมนี้ อาจารย์จอน อึ๊งภากรณ์ มองในแง่ที่ว่าไม่จำเป็นว่าทุนนิยมจะต้องขาดจากรัฐสวัสดิการเสมอไป เนื่องจากหลายประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการก็ยังเป็นทุนนิยมอยู่ ทั้งนี้ต้องเป็นทุนนิยมที่ไม่รุนแรงนัก เพราะทุกประเทศต้องมีการผสมกันระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยมอยู่แล้ว ด้านที่เป็นสังคมนิยมก็คือการจัดสวัสดิการ ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากนักขณะที่ในด้านทุนนิยมก็คือ การให้โอกาสในการลงทุน มีอิสระในการหารายได้นั่นเอง


อย่างไรก็ตาม แม้แนวคิดรัฐสวัสดิการ จะมีลักษณะที่ดูคล้ายการต่อต้านระบบทุนนิยมดังที่กล่าวข้างต้น แต่ก็มีบางมุมมองจากนักวิชาการที่น่าสนใจได้วิจารณ์แนวคิดรัฐสวัสดิการว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้ระบบทุนนิยมมีความหยืดยุ่น อีกทั้งยังเป็นเกราะสร้างหลักประกันและการสะสมทุนในระยะยาวเท่านั้นและหากพิจารณาตามคำกล่าวข้างต้น เราอาจมองในอีกแง่มุมหนึ่งได้ว่ารัฐสวัสดิการเป็นเพียงผลผลิตที่เกิดจากพัฒนาการของสังคมอุตสาหกรรม ที่ไม่สามารถกดขี่ขูดรีดแรงงานในแบบเดิมได้อีกต่อไป ทำให้ต้องมีการคิดค้นระบบใหม่ๆขึ้นมา เพื่อยับยั้งแรงกดดันของชนชั้นแรงงานที่อาจระเบิดขึ้นซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียในระบบเสรี ดังนั้นจึงมีการสร้างแนวรัฐสวัสดิการขึ้นมา ไม่เพียงแต่สามารถแก้ไขปัญหาที่กล่าวข้างต้นได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับการสะสมทุนในระยะยาวอีกด้วย โดยหลักฐานที่ยืนยันข้อเสนอดังกล่าวว่าเป็นจริง เห็นได้จากในโลกปัจจุบันที่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างลัทธิทุนนิยม สังคมประชาธิปไตยและรัฐสวัสดิการมากขึ้น ซึ่งในแง่นี้เองที่ผลประโยชน์ของแนวคิดพัฒนานี้อาจไม่ได้มุ่งเพื่อสร้างความมั่นคงแก่ชีวิตคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง แต่เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่การพัฒนากระแสหลักที่เน้นระบบทุนนิยม กลไกตลาด เสียมากกว่า










เค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดี

นางสาวเอมอร เวชยันต์วิวัฒน์

สมุดปกเหลือง
คอมมิวนิสต์ในอดีตหรือการพัฒนาในปัจจุบัน


เค้าโครงเศรษฐกิจเกิดขึ้นจาก ปรีดี พนมยงค์ ได้รับมอบหมายจากคณะราษฎร และรัฐบาลซึ่งมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ขณะนั้น ให้ทำการร่างแผนเกี่ยวกับเศรษฐกิจขึ้น


สาระสำคัญของเนื้อหาในเค้าโครงเศรษฐกิจ คือ เริ่มแรกจะมีคำชี้แจ้งว่าในการพิจารณาหรืออ่านเค้าโครงเศรษฐกิจนี้ ควรวางใจเป็นกลาง ไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนตน และควรขจัดทิฐิมานะออก และในส่วนเนื้อหาจะแบ่งออกเป็น 11 หมวด ปรีดี พนมยงค์ได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจ โดยต้องการให้บรรลุหลักข้อ 3 ของประกาศคณะราษฎร หลักซึ่งเกี่ยวแก่เศรษฐกิจของประเทศมีความว่า “จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก” และได้ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เกิดขึ้นนี้รัฐบาลทำได้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย โดยเค้าโครงเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นแบบสหกรณ์เต็มรูปแบบแต่ไม่ทำลายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชน โดยให้รัฐซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมด้วยพันธบัตร มีดอกเบี้ยประจำปี นายปรีดียังได้วางหลักการประกันสังคม คือให้การประกันแก่ราษฎรตั้งแต่เกิดจนตายว่า เมื่อราษฎรผู้ใดไม่สามารถทำงาน หรือทำงานไม่ได้เพราะเจ็บป่วยหรือชราหรืออ่อนอายุ ก็จะได้รับความอุปการะเลี้ยงดูจากรัฐบาล ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนในหมวดที่ 3 แห่งเค้าโครงการเศรษฐกิจในชื่อร่าง พ.ร.บ.“ว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” นอกจากนี้ยังได้เสนอให้มีการตั้งธนาคารแห่งชาติ และออกสลากกินแบ่งเพื่อระดมทุนให้แก่รัฐบาล


แต่เมื่อนายปรีดีได้นำร่างเค้าโครงเศรษฐกิจนี้เสนอต่อรัฐบาล ปรากฏว่าอนุกรรมการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจที่รัฐบาลตั้งขึ้นมากลั่นกรองส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่อนุกรรมการส่วนน้อย อันนำโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ไม่เห็นด้วย เพราะไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งเจ้าและขุนนางยังเป็นผู้คุมอำนาจอยู่ เมื่อนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย นายปรีดีจึงขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ดังนั้นรัฐบาลจึงร่วมมือกับทหารบางกลุ่มทำการยึดอำนาจด้วยการปิดสภาและออก พ.ร.บ. ว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 ออกแถลงการณ์ประณามนายปรีดี พนมยงค์ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นายปรีดีจำต้องเดินทางออกนอกประเทศไป และหลังจากนั้นก็ได้มีการออกสมุดปกขาว ซึ่งก็คือ พระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7 ออกโจมตีเค้าโครงเศรษฐกิจ (สมุดปกเหลือง) ของปรีดี พนมยงค์


ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเค้าโครงเศรษฐกิจ (สมุดปกเหลือง) ของปรีดี พนมยงค์ เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ที่มีนัยสำคัญต่อสังคมไทย 2 ประการ โดยจะเห็นได้ว่าเป็นนัยของการพัฒนา คือ
1. เป็นร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกและฉบับเดียวของประเทศไทยที่เสนอแนวทางเศรษฐกิจแห่งชาติแบบสังคมนิยม ภายใต้กรอบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
2. ผลของการเสนอ “สมุดปกเหลือง” ก่อให้เกิดวาทกรรมระหว่างกลุ่มที่มีวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจ-การเมือง ซึ่งแตกต่างกัน 2 ขั้ว ในคณะรัฐบาลชุดแรกของระบอบประชาธิปไตยไทย
ขั้วหนึ่ง คือ กลุ่มหัวก้าวหน้าในคณะราษฎร นำโดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ผู้เป็นตัวแทนทัศนะเศรษฐกิจสังคมนิยมแบบอ่อนๆ
อีกขั้วหนึ่ง คือ กลุ่มศักดินา-ขุนนาง-ทหาร นำโดย พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ผู้เป็นตัวแทนทัศนะเศรษฐกิจบริวารโลกทุนนิยมเสรี โดยได้มีการกล่าวหาว่าปรีดี พนมยงค์เป็นคอมมิวนิสต์ และทำให้เค้าโครงเศรษฐกิจนี้มิได้มีผลบังคับใช้


แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าเค้าโครงเศรษฐกิจนี้จะมิได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แต่สำหรับในแวดวงวิชาการในปัจจุบัน เช่น ในทัศนะของ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ เห็นว่าเค้าโครงเศรษฐกิจนั้นท่านปรีดีได้มีคำชี้แจงชัดเจนว่า ได้มีการหยิบเอาส่วนดีของลัทธิต่างๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ประเทศมานำเสนอในเค้าโครง และชี้อย่างชัดเจนว่าการจะร่างนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่ดีนั้น ต้องขจัดเอาประโยชน์ส่วนตนและทิฐิมานะออก และต้องมีใจเป็นกลาง เจตนารมณ์ของ สมุดปกเหลืองเค้าโครงทางเศรษฐกิจของท่านอาจารย์ปรีดี คือ ต้องการเปิดโอกาสและปูทางให้ประชาชนสามัญชนทั้งหลายเข้ามามีสิทธิมีส่วนร่วมในการจัดการเศรษฐกิจตั้งแต่ในระดับชุมชนจนถึงระดับชาติ และที่สำคัญต้องทำให้ประเทศมีเอกราชทางเศรษฐกิจ ความคิดทางเศรษฐกิจของท่านปรีดีก็ได้ถูกนำมาใช้ในปัจจุบันหลายเรื่อง สะท้อนให้เห็นว่าความคิดทางเศรษฐกิจหลายประการอาจจะล้ำสมัย จึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยในระยะนั้นไม่เข้าใจหรือแสร้งไม่เข้าใจเนื่องจากไปขัดแย้งกับผลประโยชน์ตน ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งสหกรณ์ทางเศรษฐกิจของชุมชน ระบบประกันสังคม ระบบภาษีที่สร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ และได้มีผู้เห็นว่าแนวความคิด ในเค้าโครงเศรษฐกิจ มิใช่เป็นแบบคอมมิวนิสต์ ดังที่ถูกกล่าวหา แต่เป็น แบบที่ นายปรีดี กล่าวว่า “โปลิซีของข้าพเจ้านั้น เดินแบบโซเชียลลิสม์ ผสมลิเบรัล” ดังจะเห็นได้ว่า ในเค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าว มีการรับรองกรรมสิทธิ์ของเอกชนไว้ ในหมวดที่ 3 เช่นเดียวกับที่มีในประเทศเสรีนิยมทางเศรษฐกิจทั้งหลาย


นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าแม้ว่าเค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ จะมิได้มีผลบังคับใช้ แต่สาระสำคัญในเค้าโครงเศรษฐกิจ ก็ได้รับนำมาปฏิบัติก็เป็นแบบฉบับของการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างเป็นระบบ และความคิดหลายอย่างในเค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าว ก็ได้มีการนำมาปฏิบัติอย่างได้ผลดี ทั้งในสมัยที่เขาเป็นผู้มีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ และหลังจากสมัยของปรีดี อาทิเช่น การก่อตั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย การจัดระบบ การเก็บภาษีที่เป็นธรรม (ประมวลรัษฎากร) การปรับปรุง ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ให้สอดคล้องกับ ระบบการเมืองใหม่ และการประกันสังคม แก่ราษฎรทั่วหน้า โดยปรีดี พนมยงค์เป็นนักการเมืองคนแรก ที่ริเริ่มแนวความคิด ที่จะให้ราษฎรทุกคน ได้รับการ ประกันสังคม (Social assurance) จากรัฐบาล โดยระบุไว้อย่างชัดเจน ในหมวดที่ 3 แห่งเค้าโครงการเศรษฐกิจ แต่น่าเสียดาย ที่ร่างของแนวความคิดดังกล่าว ถูกกล่าวหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์ กว่าประเทศไทยจะยอมรับให้มีนโยบายประกันสังคมให้แก่ประชาชน ก็เป็นร่วงเลยไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก

บุญนิยม สันติอโศก

ประพันธ์ ทับเนียม


สันติอโศก ก่อตั้งโดย พระโพธิรักษ์ (นายรัก รักพงษ์)ใน วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ที่พุทธสถานสันติอโศก ในบริเวณหมู่บ้านใกล้วัดหนองกระทุ่ม ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม มีกลุ่มคนที่ศรัทธาเข้าร่วมประมาณ 60 คน และได้ประกาศแยกตัวออกจากคณะสงฆ์ไทย ประกาศไม่อยู่ภายใต้กฏระเบียบและการปกครองของมหาเถรสมาคมและคณะสงฆ์ โดยอ้างว่ายึดเอา พระธรรกลุ่มนักบวชสันติอโศก ใช้ชื่อเรียกตัวเองว่า สมณะ อโศกพระโพธิรักษ์ได้วิจารณ์ถึงความย่อหย่อนในการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ไทยและชี้ให้เห็นถึงวิกฤตของลัทธิการพัฒนานิยมและเริ่มก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านระบบโดยใช้ชื่อว่า ขบวนการสันติอโศกซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งกับคณะสงฆ์ อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาสามสิบปีจนถึงปัจจุบัน พระโพธิรักษ์ได้ยืนหยัดสร้างชุมชนไทยรูปแบบใหม่ที่มีรากฐานบนพุทธปรัชญาที่ได้รับการตีความใหม่ จนกระทั่ง ในปัจจุบันจากขบวนการสันติอโศกได้เติบโตเป็น ชุมชนอโศก กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย สมาชิกของชุมชนหรือ ชาวอโศกได้ยึดถือเอา ศีล เป็นหลักชี้นำในการดำเนินชีวิต ตลอดจนมีทฤษฎีพัฒนาสังคมที่เรียกว่า ทฤษฎี บุญนิยม เพื่อต่อต้านและล้อเลียน ระบบ ทุนนิยม ที่เป็นระบบหลักครอบงำสังคมไทยในปัจจุบันในที่นี้เราจะให้ความสนใจในกระบวนการสร้างและพัฒนาชุมชน ทั้งมิติด้านในคือภูมิธรรมและมิติด้านนอกคือสังคมศานติสุข ที่มีเศรษฐกิจพอเพียง และพึ่งตนเองได้ ของ ชุมชนชาวอโศกโดยทำการวิเคราะห์รากฐานทางพุทธปรัชญาที่มีการตีความใหม่โดยพระโพธิรักษ์ ตลอดจนการนำไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาสังคมที่แตกต่างไปจากลัทธิการพัฒนากระแสหลัก และกลายเป็นโลกทัศน์ และวิถีชีวิตของชาวอโศก หลังจากนั้นจึงทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนอโศกและสังคมภายนอกชุมชน ตลอดจนความสัมพันธ์กับภาครัฐ ทั้งในช่วงเวลาปัจจุบันและแนวโน้มในอนาค
กล่าวได้ว่าสันติอโศก ก่อตัวขึ้นเพื่อต้านระบบทุนนิยมที่มาพร้อมกับกระแสโลกาภิวัตน์ที่ อย่างเช่น กระแสบริโภคนิยมแบบสุดๆ กระแสกิเลสตัณหานิยม และลัทธิตัวใคร ตัวมันที่แพร่ระบาดไปทั่วประเทศไทย จนผลักดันให้พระจำนวนหนึ่งประกาศต่อต้านกระแสทุนนิยม ซึ่งพวกเขาได้นำเสนอทฤษฎีการสร้างชุมชนใหม่ในนามของระบบบุญนิยมขึ้นมาหัวใจหลักคือ การใช้พุทธศาสนาเป็นฐานคิดหลักในการปฏิเสธระบบทุนนิยม
หลักบุญนิยมโดยมีฐานคิดหลักที่สำคัญ ดังนี้คือ
1. ศาสนาบุญนิยม คือ การใช้พุทธศาสนาเป็นฐาน อย่างเช่น การถือศีล 5 ตามหลักพุทธศาสนา และต้องทานมังสวิรัติ
2. การศึกษา บุญนิยมที่สอนให้นักศึกษาเสียสละ รับใช้สังคม 3. เศรษฐกิจบุญนิยม กินน้อย ใช้น้อย ทำงานมาก ไม่แสวงหากำไร 4. วัฒนธรรมบุญนิยม วัฒนธรรมพุทธ ที่เน้นความเรียบง่าย 5. การเมืองบุญนิยม เป็นการเมืองเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ทุกชีวิตมีอิสรภาพ และเสรีภาพ และทำเพื่อประชาชนเป็นที่ตั้ง
ระบบบุญนิยมนี้สะท้อนถึงความสามารถในการคิดค้น พัฒนา และดัดแปลง ความเชื่อทางพุทธศาสนาเดิม และนำเอาความเชื่อดังกล่าวมาใช้ในการสร้างระบบเครือข่ายที่เชื่อมกับการสร้างชุมชนพุทธ โดยสร้าง ความเป็นชุมชน และวัฒนธรรมที่เอื้ออาทร และปฏิเสธความเป็นอภิมหานครแบบทุนนิยม และความเป็นปัจเจกชนนิยม
วิจารณ์แนวการพัฒนาตามแนวทางบุญนิยมของสันติอโสก
ในความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าคิดว่าแม้หลักการบุญนิยมของสันติอโศกได้เป็นการสร้างชุมชนและวัฒนธรรมที่เอื้ออาทรต่อกันแต่สิ่งที่สันติอโศกได้พัฒนาตามแนวบุญนิยมนั้นเป็นการทวนกระแสของระบบทุนนิยมที่มีลักษณะสุดโต่งเกินและดูเหมือนจะแปลกแยกจากสังคมที่เป็นอยู่ไปเช่น การไม่บริโภคเนื้อสัตว์ซึ่งแม้ในพระธรรมวินัยก็ไม่ได้ห้ามไห้พระฉันเนื้อและ การที่นักบวชได้มายุ่งกับการเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่ดูไม่เหมาะสมเพราะนักบวชควรที่จะทำกล่อมเกลาเพื่อให้ฆาราวาสตั้งมั่นอยู่ในความสงบมากกว่าที่จะมารวมกันประท้วงต่อต้านรัฐบาลและการที่สันติอโศกตั้งชุมชนบุญนิยมของตนขึ้นเท่ากับเป็นการสร้างรัฐซ้อนรัฐขึ้นมาดูเป็นการสร้างความแบ่งแยกระหว่างคนที่อยู่ในรัฐไทยด้วยกัน

การพัฒนาที่ยั่งยืน

นายวรวุฒิ อุทัยธรรมกิจ

นับตั้งแต่ทั่วโลกได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นโลกาภิวัตน์ เมื่อระบบเศรษฐกิจที่จากเดิมเป็นการผลิตเพื่อยังชีพก็เปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตเพื่อการพาณิชย์ หรือที่เรารู้จักในชื่อของทุนนิยม ซึ่งได้มีบทบาทอย่างสูงในการชี้วัดว่าประเทศใดจะเจริญหรือไม่เจริญก็ด้วยความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตก็มักจะมองกันที่อุตสาหกรรม ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ จนเกิดผลร้ายต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ทำให้ทรัพยากรต่างๆทั้งถูกนำไปใช้และถูกทำลายมากขึ้น เพื่อรองรับสิ่งที่เราเชื่อกันว่าจะนำพาเราไปสู่ความเจริญก้าวหน้า

มีคำกล่าวของ นายสันติ บางอ้อ อดีตรองเลขาธิการ ศสช. ได้ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาที่เกิดขึ้นเป็นการพัฒนาที่ไม่ได้สัดส่วนระหว่างเมืองกับชนบท จึงทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสู่เมืองซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวแต่ก็มิได้มีความเท่าเทียมกันในการกระจายรายได้ ปัญหาสังคมก็เริ่มตามมา ทรัพยากรธรรมชาติก็ร่อยหรอลงทุกวัน ตลอดจนสิ่งแวดล้อมก็ถูกทำลายจนเสื่อมโทรมส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต

จากคำกล่าวข้างต้น ทำให้เราต้องเริ่มตระหนักถึงปัญหาต่างๆ เพราะถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คนรุ่นหลังก็จะประสบปัญหาในการเรียกหาทรัพยากรต่างๆที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ประสบปัญหาในการมีคุณภาพของสิ่งแวดล้อมที่ดี หรือปัญหาอื่นๆที่เราควรจะตระหนักถึงและให้ความสำคัญกับการพัฒนาแนวใหม่ที่เรียกว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน”

การพัฒนาที่ยั่งยืน หากเราจะมองกันในแนวของวาทกรรมก็คงหนีไม่พ้นกรอบคิดที่ว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนก็เป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้การพัฒนาด้วยการแตกแนวคิดใหม่ที่ถูกผสมผสานระหว่างแนวคิดเดิมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้วาทกรรมการพัฒนา แต่สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ การพัฒนาได้ทำประโยชน์ต่างๆมากมายให้กับสังคมโลก และมนุษย์เองก็ต้องการการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นการพัฒนาจึงเป็นสิ่งจำเป็นว่าจะต้องทำอย่างไรให้คนรุ่นหลังสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อพัฒนาต่อไปได้มากกว่า

การพัฒนาที่ยั่งยืนคืออะไร หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินและคุ้นหูกับคำคำนี้แต่อาจจะเข้าใจรายละเอียดที่จะเจาะลึกลงไปได้มากน้อยแตกต่างกัน แต่ได้อ่านคำนิยามต่างๆอาจจะทำให้เราเข้าใจการพัฒนาที่ยั่งยืนได้มากขึ้น คำนิยามจากการประชุมสมัชชาโลกเมื่อปี 2530 ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน คือ การพัฒนาที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนในปัจจุบัน โดยไม่ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องประนีประนอมยอมลดทอนความสามารถในการที่จะตอบสนองความต้องการของตนเอง”
ของทางพระธรรมปิฎก (ปยุตฺ ปยุตฺโต) อธิบายไว้ว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืนมีลักษณะที่เป็นบูรณาการ คือทำให้เกิดเป็นองค์รวม หมายความว่า องค์ประกอบทั้งหลายที่เกี่ยวข้องจะต้องมาประสานกับครบองค์ และมีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง คือ มีดุลยภา หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือ การทำให้กิจกรรมมนุษย์สอดคล้องกับเกณฑ์ของธรรมชาติ”
เราสามารถเข้าใจการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ง่ายขึ้นว่า “เป็นการทำให้ก้าวหน้าต่อไปโดยไม่ทำลายทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้และเป็นที่ตองการในอนาคต”

เมื่อเราพอเห็นภาพคร่าวๆของการพัฒนาที่ยั่งยืนแล้ว สิ่งที่เราควรจะรู้ต่อไปก็คือ การพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ที่แต่เดิมนับแต่เริ่มใช่แผนพัฒนาฯซึ่งเน้นการพัฒนาเป็นด้านๆไป มาสู่การพัฒนาที่เป็นองค์รวม ให้ความสำคัญกับทุกๆด้าน ที่นำไปสู่การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน โดยยึดเอาคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา พร้อมกันนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(ศสช.) เองก็ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินการให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีร่วมร่วมในกระบวนการพัฒนาให้มากที่สุด
สำหรับแนวทางของ สศช. ที่ได้มีการนำเสนอ นั้นมีตั้งแต่ การพัฒนาคนและการคุ้มครองทางสังคม การปรับโครงสร้างพัฒนาชนบทและเมืองอย่างยั่งยืน การบริการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริหารเศรษฐกิจส่วนรวม การเพิ่มสมรรถนะและขีดความสามารถในการแข่งขัน การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมให้เป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและยั่งยืน การค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศ การพัฒนาบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพและการสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการประเทศ เหล่านี้ล้วนมีการพูดถึงกันมาและมีการระบุลงไปในแผนพัฒนาฯตั้งแต่ฉบับที่ 8 เรื่อยมาจนถึงฉบับล่าสุดคือฉบับที่10 นอกจากนี้ สศช. ยังได้มีการอัญเชิญ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เน้นให้การดำรงชีวิตของคนไทยทุกระดับมีความมั่นคง ยืนด้วยขาของตัวเองได้บนพื้นฐานของการรู้จักพอประมาณ มีเหตุผล ซึ่งถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันเมื่อมีปัจจัยใดๆเข้ามากระทบ ก็จะสามารถอาศัยความรอบรู้ รอบคอบและระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผนในการดำเนินงานทุกขั้นตอน และจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานของจิตใจให้ทุกคนมีจิตสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งเป็นหนทางที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ เมื่อคนในชาติมีสำนึกอยู่ในศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมที่ดีงาม ตลอดจนละเลิกจากกิเลสตัณหา มีสติปัญญาคิดเห็นไตร่ตรองเหตุผล ทุกอย่างก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเกื้อกูลกัน ซึ่งจะนำพาสังคมไปสู่ความสงบสุข


สำหรับแผนพัฒนาฉบับที่ออกมาในช่วงหลังๆ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนให้เป็นศูนย์กลางในการที่จะนำไปสู่การพัฒนาในด้านอื่นๆ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่าง การพัฒนาในด้าน เศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่ดีมีสุขของประชาชนตลอดไป
และเพื่อให้แนวคิดนี้สัมฤทธิ์ผล ทาง สศช.เองได้มีการพิจารณาปัญหาในเชิงพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นลุ่มน้ำหรืออ่าวที่มีปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน หรือเป็นสายการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมเดียวกัน ส่วนในด้านหน้าที่ นอกจากจะยอมรับในการมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ รัฐจะต้องมีการปรับบทบาทจากผู้ควบคุมสั่งการมาเป็นผู้อำนวยความสะดวกและประสานงานเพื่อให้เกิดการพัฒนาและในด้านการมีส่วนร่วม เพราะทุกฝ่ายต่างเป็นผู้รับผลของการพัฒนา ทั้งในเชิงบวกและลบ จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของกระบวนการพัฒนา แม้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้ก็จริง แต่ในมิติของความยั่งยืนแล้วการพัฒนาในด้าน เศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังไม่เพียงพออีกต่อไป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กรอบคิดของสศช. มีความแคบไป ทั้งๆที่เป้นสิ่งสำคัญซึ่งเราไม่ควรละเลยไป อันได้แก่
1. ความเสมอภาค เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้ถูกละเลยไป เพราะในปัจจุบันความเหลื่อมล้ำและความยากจนเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้การพัฒนาคน หรือคุณภาพชีวิตของประชากรไม่เป็นไปตามที่หวัง
2. ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาท้องถิ่นอันเป็นเทคโนโลยีที่เป็นทุนความรู้ของชาติ (เขียนปะปนกันในเรื่องของสังคมทำให้ความสำคัญด้อยลง) ที่จะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีที่ทันสมัยซึ่งไทยเคยเสียเปรียบต่างชาติจนขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและเกิดวิกฤติหนี้สินต่างประเทศมาแล้ว
3. ไม่ได้เอ่ยถึงมิติด้านสันติภาพทั้งๆที่เป็นหัวใจของความยั่งยืน เพราะวิกฤตหลายๆอย่างในสังคมไทยโดยใช้สันติวิธี ในวิถี สันติธรรม โดยเฉพาะความขัดแย้งเรื่องสิ่งแวดล้อมระหว่างรัฐกับประชาชนที่นับวันยิ่งจะมีมากขึ้นตามลำดับ
4. ไม่เน้นเรื่องของประชาธิปไตย ทั้งๆที่เป็นหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญ แม้จะมีการพูดถึงเรื่องของการมีส่วนร่วมก็เป็นเพียงแค่ผิวเผิน อันที่จริงการหลบ-หลีก-เลี่ยงที่จะเขียนถึงเรื่องการเมืองและโครงสร้างอำนาจมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้กรอบคิดการพัฒนาที่ใช้อยู่ไม่ยั่งยืนและขาดน้ำหนักลงไปมากเท่านั้น การปฏิเสธการเมืองภาคประชาชน ก็เท่ากับการปฏิเสธการพัฒนาที่ยั่งยืน

เมื่อมิติสำคัญขาดหายไปหรือไม่ได้รับการเน้นย้ำ “พัฒนาที่ยั่งยืน” ก็คงเป็นได้แค่ชื่อ เป็นได้แค่แบบ “หัวมงกุท้ายมังกร” หากบูรณาการไม่เป็นระบบ การนำไปปฏิบัติอาจเกิดปัญหา และท้ายที่สุดอาจเข้าอีหรอบเดิมวกกลับเข้ากรอบ “เสรีนิยมใหม่” อันเป็นตัวตนเดิมของสภาพัฒน์หรือไม่ แม้แนวนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนจะมีจุดอ่อนอยู่หลายประการ แต่ก็ควรถือว่าเริ่มเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะนำไปสู่การดูแลรักษา พัฒนาโดยคิดคำนึงถึงคนรุ่นต่อๆไป มิใช่เป็นเพียงแค่แผนนโยบายที่สวยหรูที่เขียนไว้เพื่อให้รู้ว่าประเทศไทยก็ตระหนักถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนเช่นเดียวกันกับนานาประเทศเท่านั้น และแม้จะเริ่มมีแนวคิดนี้มาตั้งแต่แผนพัฒนาฉบับ 8 และ 9 แต่ทว่ารัฐบาลเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังเท่าที่ควร ซึ่งน่าเสียดายที่รัฐบาลยังคงเดินหน้าเข้าหาการพัฒนาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าที่จะเล็งเห็นถึงประโยชน์สำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนนี้มากกว่าที่ควรจะเป็น

ความสุขมวลรวมประชาชาติ

ณัฐภัทร จิราพงษ์


Gross National Happiness(GNH) หรือที่เรียกกันเป็นภาษาไทยว่า ความสุขมวลรวมประชาชาติ GNH กลายเป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จในการพัฒนาประเทศยุคใหม่ โดยยึดหลักว่าการพัฒนาด้านวัตถุและจิตใจควบคู่กันไป เป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนาสังคมมนุษย์ที่แท้จริง ในขณะเดียวกัน กระแสของGNH ได้สะท้อนให้ทั่วโลกเห็นว่า อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ความทันสมัย รายได้ของประชากร ไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดถึงความสำเร็จของการพัฒนาได้
และไม่ทำให้คนมีความสุขอย่างแท้จริง เพราะการมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจให้ได้ตามเกณฑ์ของการพัฒนา ทำให้เกิดผลเสียหายต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ ความไม่เป็นธรรมทางสังคม ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ มลภาวะแวดล้อมเป็นพิษ รวมถึงการสูญเสียเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ซึ่งล้วนแต่ไม่ก่อให้เกิดสุขภาวะทั้งทางร่างกายและด้านจิตใจของมนุษย์

ความสุขมวลรวมประชาชาติ GNH นั้นเป็นหลักการบริหารประเทศของภูฏาน ที่ปฏิเสธการมุ่งพัฒนาประเทศให้ร่ำรวยไปแต่สนับสนุนให้เกิดความพึงพอใจในสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็นแก่ประชาชนซึ่งการพัฒนาทั้งหมดเน้นไปที่ตัวคนเป็นศูนย์และใช้คนเป็นหลักในการบ่งชี้ความสำเร็จของการพัฒนาประเทศมีนโยบายหลัก 4 ประการ เรียกว่า 4 เสาหลักเพื่อความสุข(Four pillars of happiness)1 ได้แก่

ประการที่ 1 การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน(Sustainable economic development) การเข้ามาของระบบทุนนิยมในภูฏานจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยสิ่งที่เกิดขึ้นดีหรือไม่ ให้เอาความสุขของชาวภูฏานเป็นตัวตัดสินไม่ใช่วัดที่จำนวนเงินและทรัพย์สินที่เป็นวัตถุสิ่งของ เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยั่งยืนและเสมอภาค

ประการที่ 2 การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ (Conservation of Environment) การพัฒนาใดๆ จะต้องไม่ทำลายความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ภูฏานจึงยกเลิกการค้าไม้กับต่างชาติ ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ป่าไม้ และปลูกเพิ่มเติม รวมถึง สัตว์ป่าก็ได้รับการดูแลอย่างดี โดย 26% ของพื้นที่ประเทศทั้งหมดถูกจำกัดให้เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า

ประการที่ 3 การส่งเสริมและสงวนรักษาวัฒนธรรมประเพณี (Preservation and Promotion of Culture) รัฐบาลก็จะส่งเสริมและให้ชาวภูฏานยึดถือและปฏิบัติตามแบบแผนดั้งเดิมที่เคยทำกันมา เช่นวัฒนธรรมการแต่งกาย การสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ความเชื่อและการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ส่วนวัฒนธรรมตามกระแสทุนนิยม รัฐบาลเองต้องเป็นคนคัดเลือกที่จะรับและผ่อนปรนในเกณฑ์ปฏิบัติ รวมทั้งการให้การศึกษากับเด็กชาวภูฏาน ที่ต้องให้ความรู้ทางศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม ควบคู่ไปกับตำราเรียนทางวิชาการด้วย

ประการที่ 4 การส่งเสริมการพัฒนาธรรมาภิบาล (Good Governance) คือเน้นให้ชาวภูฏานดำรงชีวิตบนพื้นฐานที่จะช่วย พัฒนาสังคมทั้งระบบให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพโดยยึดถือหลัก 6 ประการ เช่นความซื่อสัตย์สุจริต ความมีคุณธรรมจริยธรรม เป็นต้น

อย่างไรก็ตามความสุขมวลรวมประชาชาติของภูฏานยังมีปัญหาอยู่มากพราะ รัฐบาลยังไม่ได้พัฒนา ตัวชี้วัดความสุขออกมาเป็นมาตรฐานอ้างอิง หรือกำหนดองค์ประกอบของความสุขมวลรวมประชาชาติ หรือความสุขในระดับปัจเจกบุคคล และไม่มีการพัฒนาตัวชี้วัดทั้งทางคุณภาพและเชิงปริมาณ ตลอดจนวิธีการคำนวณวัดออกมาอย่างลงตัว ถึงแม้จะไม่มีเกณฑ์วัดเป็นมาตรฐานตายตัว แต่ก็มีความพยายามที่จะสร้าง ดัชนีชี้วัดความสุขขึ้นมา ในประเทศไทยนั้น สภาพัฒน์ฯ ก็ได้จัดทำไว้โดยมีหลักสำคัญอยู7 เรื่องือ สุขอนามัย ความรู้ ชีวิตการทำงาน รายได้และการกระจายรายได้ภาพแวดล้อม ชีวิตครอบครัว และการบริหารการจัดการที่ดีของภาครัฐ

เมื่อใช้กรอบการวิเคราะห์วาทกรรมกับเหตุการณ์ ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจไทยเมื่อพ.ศ. 2540 จะพบว่าได้เกิดกระบวนการสร้างวาทกรรมให้กับ ความสุขมวลรวมประชาชาติ GNH ขึ้นในสังคมไทย มี การเชื่อมโยง ความสุขมวลรวมประชาชาติ GNH เข้ากับ แนวคิดระบอบเศรษฐกิจพอเพียง(ภายหลังกลายเป็นวาทกรรมเช่นเดียวกัน) เพื่อต่อต้านกับ แนวคิดการพัฒนากระแสหลัก ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบอยู่ขณะนั้น เกิดกลไกการสร้างวาทกรรมให้กับดัชนี NGH โดย สร้างเครือข่ายโยงใยกับสถาบันกษัตริย์ผ่านแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงและพระจริยวัตรอันงดงามของเจ้าชายจิกมี แห่งภูฏาน แนวคิดของนักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชนของไทย เกิดเป็นแนวปฏิบัติใหม่ในทางเกษตรกรรม วิถีการดำรงชีวิตของประชาชน และความรู้แขนงใหม่ในสังคม เพราะฉะนั้น เราต้องมอง ความสุขมวลรวมประชาชาติ GNH ในระดับทางเลือกของการพัฒนา มิใช่มองมันป็นคำตอบของการพัฒนา มองพ้นจากวาทกรรมการพัฒนา(development discourse)มาเป็นการพัฒนาวาทกรรม(discourse development) เพื่อให้เราสามารถหาคำตอบที่แท้จริงสำหรับการแก้ปัญหาที่ การพัฒนาสร้างเอาไว้ ได้เสียที

พอเพียง เป็นได้จริงหรือแค่ฝัน??

นาย ณัฐภัทร เจริญรักษ์

พอเพียง ทำได้จริงหรือแค่ฝัน???

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ในหลวงภูมิพลทรงมีพระราชดำรงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ซึ่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ คำว่าพอเพียงหมายถึง ความพอประมาณ มีเหตุมีผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยน แปลงทั้งภายนอกภายใน และเศรษฐกิจพอเพียงยังเน้นเรื่องจริยธรรมของคนไม่ว่าจะเป็นคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงประเด็นเชิงคุณค่าต่างๆ เช่น ความรอบรู้ที่เหมาะสม ความอดทน ความเพียร สติปัญญา และความรอบคอบ

เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียงได้กลายมาเป็นแนวนโยบายในการพัฒนาประเทศไทยโดยประกาศเป็น นโยบายรัฐบาลและเผยแพร่ต่อนานาประเทศผ่านโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ เพื่อต้านทานการครอบงำของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ในฐานะที่เป็นทหารหรือคนของพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนใช้จะต้องมีนิสัยสอดคล้องกับเจ้านายของตน เราจะเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลนี้จะชูประเด็นเรื่องคุณธรรมมาเป็นอันดับหนึ่ง และก็สะท้อนออกมาด้วยเช่นกันจากนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงที่ผนวกคุณค่าทางจริยธรรมไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกันนักวิชาการสายมาร์กซ์ใจ อึ๊งภากรณ์ มองว่าคณะปฏิวัติก็คือชน ชั้นนำฝ่ายเสรีนิยมกลไกตลาดที่คัดค้านสวัสดิการสำหรับคนจน เขากล่าวว่ารัฐบาลปฏิวัตินำเศรษฐกิจพอเพียงมาบังหน้าในขณะที่นำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เซ็นสัญญาเอฟทีเอ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือกระทั่งทำ ซีแอลยาเพื่อประหยัดงบประมาณของรัฐเป็นหลัก มิใช่เพื่อลดราคายาให้ประชาชน ดังนั้น เศรษฐกิจพอเพียงจึงไม่ใช่นโยบายทางเศรษฐกิจเพราะเขาเห็นว่าไม่มีสาระพอ เป็นได้แค่ลัทธิทางการเมืองของชนชั้นปกครองอนุรักษ์นิยมเพื่อใช้ประกอบกับ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เพื่อคัดค้านสวัสดิการจากรัฐในรูปแบบประชานิยมและรัฐสวัสดิการด้วย

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกล่าวถึงหลักการดำเนินชีวิตและธุรกิจที่เป็นทางสายกลาง ในเฉพาะส่วนของการดำเนินชีวิตนั้นมีส่วนเน้นอยู่ที่การพึ่งตนเองเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้มีการประหยัด การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น และการส่งเสริมระบบสหกรณ์ ทั้งนี้เน้นความสำคัญของชุมชนท้องถิ่นด้วย เช่น การส่งเสริมให้มีกลุ่มอาชีพ กลุ่มกองทุนการเงินในชุมชน เพื่อยกระดับรายได้ให้พ้นความยากจนและช่วยเหลือคนยากจนด้อยโอกาส ส่วนเศรษฐกิจพอเพียงกับการดำเนินธุรกิจเน้นเรื่องการจัดการความเสี่ยง มีแผนรองรับเพื่อความไม่ประมาท โดยเริ่มดำเนินธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปและพัฒนาอย่างต่อเนื่องขยายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มั่นคงและยั่งยืนทำให้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงถูกมองว่าสนใจเฉพาะการลดรายจ่าย มากกว่าการเพิ่มรายได้ ไม่ส่งเสริมให้มีการเรียกร้องใดๆ จากภาครัฐ และที่สำคัญก็คือผู้มีรายได้มากก็สามารถฟุ่มเฟือยได้ตามฐานะของตน เช่น ถ้าเศรษฐีจะซื้อเพชรสักล้านก็ถือว่าพอเพียง แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าชาวนาซื้อรถมอเตอร์ไซด์มาใช้ก็อาจเป็นความฟุ่มเฟือยได้

เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยมโดยสิ้นเชิงแต่เป็นการ เอาคุณธรรมมาใส่ทุนนิยม ดังที่นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ได้ตีความเศรษฐกิจพอเพียงเอาไว้ กลายเป็นว่านโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลปฏิวัติอ้างในตอนนั้น สร้างความสับสนแก่นักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ในท้ายที่สุดเศรษฐกิจพอเพียงก็คือสิ่งที่ต้องมีควบคู่ไปกับทุนนิยมต่อไป รัฐบาลต่อมาในฐานะผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงจึงรณรงค์ผ่านสื่อและโครงการต่างๆ แก่ประชาชนทุกวี่วัน ทำให้ในตอนนี้เศรษฐกิจพอเพียงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ รัฐไทยไปแล้ว

นับได้ว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสิ่งที่ถูกหวังว่าให้แก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจจากผลของการพัฒนาตามโลกสากลที่อิงอยู่กับกลไกตลาดของโลก ในหลวงภูมิพลทรงหวังดีต้องการจะแก้ปัญหาที่เกิดจากทุนนิยมนั้น หรืออาจจะทรงแค่เตือนสติผ่าน ทางปรัชญานี้ก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจพอเพียงอาจถูกตีความไปได้ต่างๆ นานา สิ่งที่ประชาชนจะได้จากแนวการพัฒนาตามเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาลหรือชนชั้นนำยังคงต้องตั้งคำถามอยู่ เพราะตราบใดที่ยังไม่ปฏิเสธ ทุนนิยมและไม่สนับสนุนให้มีการกระจายรายได้และทรัพยากร ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจหรือปัญหาความยากจนอาจจะยังคงอยู่คู่กับเศรษฐกิจพอเพียงตลอดไป

อยู่ดีอย่างพอเพียง??

สรมาส จันทรแดง

กรอบแนวคิด “ความอยู่ดีมีสุข” พัฒนามาจากแนวคิดของศาสตราจารย์อมาตยา เซน(พ.ศ. 2528) ซึ่งระบุไว้ว่า “ผลกระทบขั้นสุดท้ายของการพัฒนาก็คือ การทำให้ปัจเจกบุคคลสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ และปัจเจกบุคคลที่มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกวิธีการไปสู่ความสำเร็จด้วยตัวของเขาเอง ส่วนการมีรายได้จะเป็นเพียงเครื่องมือหรือทางผ่านไปสู่ความสำเร็จเท่านั้น” ซึ่งแนวคิดดังกล่าว สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาประเทศในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ฉบับที่ 9 และฉบับที่10 ซึ่งมุ่งเน้น “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา แนวคิดเรื่องอยู่ดีมีสุขนั้นยังอยู่ภายใต้พื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้หลักคุณธรรมกำกับการพัฒนาเศรษฐกิจในระบบตลาดเสรี การพัฒนานั้นจะเน้นการพัฒนา “คน” เพื่อ ผลประโยชน์ของประชาชน โดย ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ โดยเริ่มต้นจาก “การพึ่งพาตนเอง” ดำเนินการด้วยความรอบคอบ วิเคราะห์ ระมัดระวัง “ทำตามลำดับขั้นตอน” รู้จักประมาณตน และมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของของชุมชน

ในปัจจุบัน ยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข นั้น มีที่มา ๒ ประการ คือ ประการแรก มาจากแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ ซึ่งมุ่งเน้นให้สังคมมีเป้าหมายในการพึ่งตนเอง มีความสามัคคี และมีความอยู่เย็นเป็นสุข ยึดหลักปรัชญาพอเพียง (พอประมาณ บนพื้นฐานของความพอดี ความสมดุลระหว่างความสามารถในการพึ่งตนเองกับความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก) และ คำนึงถึงความเป็นไปได้ในสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประการที่สอง มาจากนโยบายรัฐบาลที่ต้องการขยายจำนวนประชาชน ให้ได้รับการดูแลมากขึ้น แม้จะไม่สามารถดูแลได้ครอบคลุมครบทุกกลุ่มก็ตาม

โครงการอยู่ดีมีสุขนั้นมีองค์กรดำเนินงาน 3 ระดับคือองค์กรระดับชาติ องค์ระดับจังหวัด และองค์กรระดับอำเภอ/กิ่งอำเภอ ยุทธศาสตร์นั้นประกอบด้วย ๕ ด้านด้วยกัน ได้แก่ ด้านการสงเคราะห์ เน้นการให้การสงเคราะห์แก่ผู้ด้อยโอกาส หรือครอบครัวยากจนที่ต่ำกว่าระดับมาตรฐานในชุมชนนั้น ด้านเศรษฐกิจพอเพียง เน้นการพัฒนาการเกษตรให้เป็นไปตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เน้นบทบาทชุมชนในการบริหารจัดการ ชุมชนเป็นผู้กำหนดแผนงาน สร้างหลักสูตรการเรียนรู้ขึ้นเอง ด้านผลิตภัณฑ์ชุมชน เน้นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของชุมชนที่มีลู่ทางในตลาด เป็นการเชื่อมโยงตลาดและเอกลักษณ์ท้องถิ่น และด้านการบริการประชาชนเน้นการพัฒนาบริการประชาชนทั้งที่จังหวัด/อำเภอ/หน่วยปกครองท้องถิ่น ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ เช่น การจัดตั้งเคาน์เตอร์บริการของรัฐ การจัดตั้งศูนย์บริการร่วมอำเภอ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีดัชนีชี้วัดความอยู่ดีมีสุขซึ่งประกอบไปด้วย 7หลักด้วยกัน ได้แก่ สุขภาพอนามัย ความรู้และการศึกษา ชีวิตการทำงาน รายได้และการกระจายรายได้ สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต ชีวิตครอบครัว การบริหารจัดการที่ดีของรัฐ

เมื่อมองย้อนกลับไปดูถึงแผนพัฒนาฯที่ผ่านมา ในช่วงฉบับที่ 5-6นั้น มีการเปลี่ยนแบบวิถีการผลิตแบบพอยังชีพ ไปสู่การผลิตเพื่อการค้า โดยเฉพาะระบบอุตสาหกรรมและการเกษตรเชิงพาณิชย์ที่กระจายสู่ชนบท โดยที่ไม่เน้นเรื่องคุณภาพชีวิตและยังมุ่งตอบสนองคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะชนชั้นนำ และ ยังมองว่าความเจริญทางเศรษฐกิจสำคัญกว่าสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ว่าในฉบับที่7 จะมีการกำหนดยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาเหล่านี้แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก ปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาภายในประเทศไทย ตั้งแต่มีการใช้แผนพัฒนาฯที่ผ่านมาก็คือ การนำประเทศไปผูกติดกับชาติมหาอำนาจ โดยแนวความคิดที่มีอิทธิพลเท่าที่ผ่านมาก็คือ แนวความคิดกระแสหลัก ที่มีจุดมุ่งหมายสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และรายได้ ตลอดจนการพัฒนาอุตสาหกรรม จนทำให้ประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยต้องพึ่งพิงต่างชาติจนเกินไป และแทนที่คนส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์ กลับกลายเป็นคนที่เข้าถึงภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น เป็นฝ่ายได้ ส่วนคนที่เข้าไม่ถึงก็แบกรับภาระปัญหาความยากจนไป นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาในเรื่องความไม่สมดุลของระบบนิเวศตามมาอีกด้วย ปัญหาต่างๆอันเกิดจากการพัฒนาเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาประเทศตามแนวคิดกระแสหลักไม่สามารถใช้ได้ในประเทศไทย

ต่อมาได้เกิดแนวคิดยุคหลังทฤษฎี “กระแสหลัก”ขึ้น โดยมีคุณสมบัติหลักคือ การมองสู่ปัญหาภายใน มีความสนใจที่จะหาทางสร้างสิ่งใหม่ๆบนรากฐานของทรัพยากรในประเทศ และในขณะเดียวกันต้องได้รับการกระจายผลตอบแทนจากทรัพยากรให้ยุติธรรมและเสมอภาคกันด้วยนั้น แนวคิดดังกล่าวจึงได้เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับประเทศไทยที่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ได้แสดงจุดหักเหในแนวคิดการวางแผนที่สำคัญ คือ การหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนา โดยมี“คน”เป็นศูนย์กลาง การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเพียง “เครื่องมือ” ของการพัฒนา “คน” ต่อมาในฉบับที่ 9ได้อัญเชิญ"ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" มาเป็นปรัชญานำทางในการพัฒนา และสานต่อมาในฉบับที่10 ดังนั้นโครงการอยู่ดีมีสุขจึงอยู่ในกรอบของแผนพัฒนาฯในฉบับปัจจุบัน ในแง่ของการที่มุ่งเน้น “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา กระจายอำนาจ และทรัพยากรลงสู่ท้องถิ่น ให้ประชาชนได้เข้าถึงได้มากขึ้น อันเป็นการแก้ปัญหาอันเกิดจาก แผนพัฒนาฯ ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ประเด็นในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจก็ยังเป็นเป็นสิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญ ภายใต้ระบบตลาดเสรี ดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้น จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขนั้นนับว่ามีความสอดคล้องกับแนวความคิดการพัฒนายุคหลังทฤษฎี “กระแสหลัก” เป็นอย่างยิ่ง และยังสามารถนำมาใช้ในการปัญหาที่เกิดจากการดำเนินงานของแผนพัฒนาฯที่ผ่านมาอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโครงการอยู่ดีมีสุขเอง ก็พบปัญหาอุปสรรคหลายประการเช่นกัน เป็นต้นว่า ชุมชนไม่เข้าใจหลักการสำคัญของการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ และเข้ามามีส่วนร่วมน้อย บางชุมชนมีข้อมูลของแผนชุมชนไม่เรียบร้อย ไม่ได้ทำจากข้อมูลของพื้นที่จริง การจัดสรรงบลงสู่หมู่บ้านและชุมชนไม่ทั่วถึง ขณะที่หมู่บ้านและชุมชนบางแห่ง นำงบประมาณไปใช้ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการ เป็นต้น

ถึงแม้ว่าโครงการอยู่ดีมีสุข จะมีแนวความคิดและยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาที่ผ่านมาของประเทศไทย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้โครงการอยู่ดีมีสุขกำลังประสบปัญหาอยู่เสียเอง ดังนั้น นักวิชาการ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญ จะต้องรีบคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต่อไป