8.18.2551

การกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่า


นาย ฉัตรชัย ใจทิยา

การกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่า

ประเด็นการกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่าเป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อชนชั้นแรงงานอย่างมากและผลอันเนื่องมาจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นตํ่าในแต่ละครั้งว่าจะขึ้นหรือไม่นั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ในขณะนั้น ที่เข้าไปมีส่วนต่อการตัดสินใจดังกล่าว ก่อนจะกล่าวถึงหลักเกณฑ์ต่างๆในการกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่านั้น ขอกล่าวถึง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ จากจุดเริ่มต้นของการกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่าเสียก่อนเพื่อจะได้เห็นภาพและเข้าใจถึงวิวัฒนาการของมันได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่มีปัจจัยและบริบทที่แตกต่างกันอย่างมาก

ในส่วนนี้จะกล่าวถึงค่าจ้างและค่าจ้างขั้นตํ่าในมุมมองเชิงประวัติศาสตร์ นับแต่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบทันสมัยของไทยที่มีการก่อตัวขึ้นในปี 2399 หลังจากสนธิสัญญาเบาว์ริ่งมีผลทำให้รัฐบาลไทยต้องเปิดประเทศทำการค้าเสรีกับต่างประเทศ ผลจากนโยบายดังกล่าวทำให้ไทยหันมาส่งออกข้าวเป็นหลัก การขยายตัวของการค้าข้าวมีผลต่อการพัฒนาทางการเมืองในลักษณะการรวมศูนย์อำนาจและรูปแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ชนชั้นปกครองเป็นผู้กุมอำนาจทางการเมือง ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างเมืองและชนบท ดังงานเขียนเรื่อง การเมืองเรื่องข้าว นโยบายประเด็นปัญหา และความขัดแย้งได้กล่าวเอาไว้ จากจุดนี้ทำให้เราเห็นว่าการเลือกพัฒนาส่งผลต่ออัตราค่าจ้างขั้นตํ่าในปัจจุบันให้มีความแตกต่างไม่เท่าเทียมกันระหว่างในเมืองที่สูงกว่าในชนบท จนเนำไปสู่การเรียกร้องของกลุ่มแรงงานต่างๆ ดังเช่น นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวถึงผลการประชุมของคณะกรรมการค่าจ้างกลางในปี 2551 ที่มีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 9 ระดับตั้งแต่ 2 - 11 บาท ว่า เป็นการปรับขึ้นค่าจ้างที่ไม่สมดุล และไม่สอดคล้องกับสภาวะค่าครองชีพที่แท้จริงของผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ เพราะบางจังหวัดปรับขึ้นแค่ 2-3 บาทเท่านั้น ขณะที่ราคาน้ำมันค่าครองชีพ และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้นเหมือนกันทั่วประเทศ ไม่แน่ใจว่าคณะกรรมการค่าจ้างเอาตัวเลขอะไรมาพิจารณา เพราะเป็นการปรับขึ้นต่ำมาก และห่างกันเกินไป โดยตัวเลขที่น่าจะปรับขึ้นอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 5 - 7 บาท "การปรับขึ้นค่าจ้างแบบนี้ไม่ได้คำนึงถึงคุณค่าของความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่คณะกรรมการค่าจ้างไม่คำนึงถึงคุณค่าของคนงานที่ได้รับการปรับค่าจ้างต่ำเกินไป และน่าเป็นห่วงว่า คนงานในจังหวัดที่ได้รับค่าจ้างต่ำแบบนั้นจะอยู่กันได้อย่างไร ตัวเลขที่คนงานจะอยู่ได้ ยังคงยืนยันว่าคือ 233 บาททั่วประเทศ" ในประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มมีกฎหมายค่าจ้างขั้นตํ่าก็หลังจากหมดยุคของรัฐบาลเผด็จการอันยาวนานตั้งแต่ปี 2490 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการยกระดับสวัสดิภาพของคนงานให้ดีขึ้น

กฎหมายแรงงานฉบับแรกของไทย มีประกาศใช้เมื่อ พ.ศ.2499 และได้มีการประกาศใช้กฎหมายค่าจ้างขั้นตํ่าเป็นครั้งแรกในปี 2516 ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายดังกล่าว ค่าจ้างเฉลี่ยแรงงานไร้ฝีมือมีอัตรา 8บาทต่อวัน ในขณะที่ค่าจ้างแรงงานมีฝีมือมีอัตรา 10บาทต่อวัน เมื่อมีการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น จากการส่งออกข้าวเป็นหลัก มาเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า และเน้นการส่งออกในที่สุดตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ได้มีปัจจัยหลายๆอย่างที่เข้าไปมีผลต่อการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่าให้สูงขึ้นตามแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะกล่าวต่อไปในตัวปัจจัยต่างๆเหล่านี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าในประเทศที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงิน ปัญหาหนี้ต่างประเทศเรื้อรัง และปัญหางบประมาณขาดดุล เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้รัฐบาลจะดำเนินมาตราการ อันได้แก่ การกู้ยืมเงินต่างประเทศเพิ่มขึ้น การตรึงค่าจ้างแท้จริง หรือการลดค่าเงิน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่เอาสวัสดิภาพของแรงงานเข้าไปเป็นเครื่องมือหนึ่งในการแก้ปัญหาความไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับประเทศไทยในช่วงระหว่างปี 2516-2528 รัฐบาลก็เลือกใช้วิธีตรึงค่าจ้างขั้นตํ่าหรือกดให้ตํ่าลงเดิม เพื่อแก้ปัญหาเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งวิธีการนี้สามารถใช้ได้ในสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นเผด็จการซะส่วนใหญ่

การกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่าเป็นมาตราฐานการใช้แรงงานที่สำคัญของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หลักประกันขั้นต้นแก่ลูกจ้างที่ไม่มีฝีมือเมื่อแรกเข้าทำงาน ซึ่งลูกจ้างคนเดียวสมควรจะได้รับและสามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม ณ ปัจจุบันทั้งนี้ค่าจ้างที่ได้รับจะต้องไม่น้อยกว่าค่าจ้างที่กฎหมายกำหนด องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO (International Labour Organization) เป็นองค์กรสากลที่บทบาทในเรื่องของแรงงาน และได้กำหนดให้ค่าจ้างขั้นตํ่าเป็นมาตราฐานแรงงานของการคุ้มครองแรงงานมานานแล้ว เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้นำไปเป็นแนวทางปฏิบัติในการคุ้มครองผู้ใช้แรงงานเกี่ยวกับค่าจ้าง โดยได้ตราอนุสัญญาว่าด้วยการกำหนดค่าจ้างขั้นตํ่า แม้ว่าไทยจะไม่ได้ให้สัตยาบันแตก็ได้นำอนุสัญญาดังกล่าวมาปรับใช้โดยนำแทรกไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ

การกำหนดค่าจ้างขั้นตํ่าที่เป็นสากลเป็นอย่างไร ประเทศที่มีการกำหนดค่าจ้างขั้นตํ่าต่างก็มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมขึ้นในสังคม โดยมีหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นตํ่า โดยทั่วไป ดังนี้

1. ความจำเป็นพื้นฐานของลูกจ้างและครอบครัว หลักเกณฑ์นี้พิจารณาจากความต้องการขั้นพื้นฐานระดับการบริโภคขั้นตํ่าสุด ซึ่งจะทำให้คนยังชีพอยู่ได้ในเรื่องปัจจัยสี่ และค่าจ้างขั้นตํ่าจะต้องได้รับการพิจารณาปรับปรุงตามค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น

2. ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง การกำหนดค่าจ้างขั้นตํ่าตามหลักเกณฑ์นี้มีสาเหตุมาจากการที่ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของระบบเศรษฐกิจ ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันการพิจารณาจะต้องนำปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์ ประกอบด้วยระดับการค่าจ้างโดยทั่วไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ระดับกำไรโดยส่วนรวม ระดับกำไรของสถานประกอบการขนาดเล็ก และผลกระทบของค่าจ้างขั้นตํ่าต่อการลงทุน

3. มาตราฐานความเป็นอยู่ในส่วนอื่นของระบบเศรษฐกิจประเทศซึ่งพลเมืองมีรายได้แตกต่างกันระหว่างผู้ที่อยู่ในเขตเมืองกับชนบทหรือระหว่างภาคเกษตรกับอุตสาหกรรม จนทำให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสู่เมืองมากขึ้น

รัฐมักจะพิจารณากำหนดค่าจ้างขั้นตํ่าให้มีความสัมพันธ์กับมาตราฐานความเป็นอยู่ของกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะอพยพ เพราะมีจุดมุ่งหมายจะให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม อย่างไรก็ตามการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นตํ่า

โดยผูกพันกับรายได้ของคนในภาคเกษตรมักจะทำให้อัตราค่าจ้างอยู่ในเกณฑ์ตํ่ามากเกินไป จึงไม่ยุติธรรมกับคนงานในเมือง ดังนั้นจึงควรพิจารณาว่าควรแตกต่างกันเท่าไดจึงจะเหมาะสม ประเทศที่มีการกำหนดค่าจ้าง

ขั้นตํ่าแต่ละประเทศอาจนำหลักเกณฑ์อย่างหนึ่งหรือมากกว่ามาใช้ และกำหนดระบบค่าจ้างขั้นตํ่าให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความต้องการของคนขึ้นใช้

การกำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่าเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 5คนในการพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่า คณะกรรมการค่าจ้างได้ศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่ง พรบ.คุ้มครองแรงงานแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3 พ.ศ.2551คือ อัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตราฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการค่าจ้างได้กระจายอำนาจการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นตํ่าไปยังภูมิภาค โดยได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอัตราค่าจ้างขั้นตํ่ากรุงเทพมหานคร และคณะอนุกรรมการอัตราค่าจ้างขั้นตํ่าจังหวัดรวม 76 คณะ เป็นองค์กรไตรภาคีเช่นเดียวกับคณะกรรมการค่าจ้าง เพื่อให้ทำหน้าที่เสนอแนะอัตราค่าจ้างขั้นตํ่าของจังหวัดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละพื้นที่มากยิ่งขึ้น ปัญหาคือขึ้นอยู่กับว่าคณะกรรมการค่าจ้างในแต่ละจังหวัดจะเลือกใช้ข้อมูลใดเป็นตัวหลักในการพิจารณาตัดสิน ซึ่งย่อมไม่เหมือนกันในแต่ละจังหวัด

ปัจจัยพื้นฐานที่ใช้ประกอบในการพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นตํ่ามีอะไรบ้าง ในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นตํ่ากลุ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงจะประกอบด้วย 3 ฝ่ายดังกล่าวมาแล้ว ดังนั้นปัจจัยพื้นฐานที่ควรนำมาพิจารณาในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นตํ่า จึงควรเป็นปัจจัยกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงทั้งสามฝ่าย ปัจจัยพื้นฐานของฝ่ายนายจ้างน่าจะได้แก่ ความสามารถในการจ่าย และความอยู่รอดของธุรกิจ ปัจจัยพื้นฐานของฝ่ายลูกจ้างน่าจะได้แก่ปัจจัยทางด้านค่าครองชีพ และค่าจ้างที่ผู้ใช้แรงงานพึงได้รับผลตอบแทนจากการทำงานให้สมกับความสามารถและดำรงชีพอยู่ได้อย่างพอเพียง ส่วนปัจจัยทางภาครัฐได้แก่ การประสานผลประโยชน์ของทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง ให้สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้และนำมาซึ่งผลประโยชน์ของส่วนรวม

เมื่อเข้าใจถึงปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่าแล้ว ต่อไปมาดูระบบค่าจ้างในปัจจุบันซึ่งมี 3 รูปแบบ คือ 1. ระบบค่าจ้างขั้นต่ำ ที่กำหนดโดยคณะอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด

2. ระบบค่าจ้างประจำปีในสถานประกอบการ ซึ่งนายจ้างจะเป็นผู้กำหนด อย่างไรก็ตามสถานประกอบการโดยมากไม่มีการกำหนดโครงสร้างค่าจ้าง

3. ระบบค่าจ้างรายชิ้น ส่วนใหญ่ใช้กับกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งหากคำนวณชั่วโมงการทำงานกับรายได้แล้วพบว่า ค่าจ้างรายชิ้นจะต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย

ปัญหาของเกณฑ์การกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่าในปัจจุบันนี้ คือ ความเห็นแตกต่างกันใน 3 ประเด็น ขององค์กรไตรภาคี คือในเรื่องดังต่อไปนี้

1. ฝ่ายลูกจ้างเห็นว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำควรเพียงพอต่อการเลี้ยงดูคนอย่างน้อย 3 คน (พ่อ แม่ ลูก) แต่เมื่อพิจารณาฝ่ายนายจ้างมองว่าค่าจ้างขั้นต่ำควรเพียงพอต่อการดำรงชีพของลูกจ้างเพียงคนเดียว

2. ฝ่ายลูกจ้างเสนอว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นอัตราเดียวกันทั้งประเทศ เนื่องจากค่าครองชีพในแต่ละจังหวัดไม่ได้แตกต่างกัน ส่วนนายจ้างไม่เห็นด้วย เพราะมิเช่นนั้นจะไม่มีนายจ้างใดต้องการไปลงทุนในต่างจังหวัด ความแตกต่างในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ขยายการลงทุนไปยังภูมิภาค

3. การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ฝ่ายลูกจ้างเห็นควรให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำทุกปีตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพเพิ่งสูงขึ้นทุกปี แต่นายจ้างไม่เห็นด้วยเนื่องจากทำให้ไม่สามารถวางแผนการผลิตได้ ควรปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 3 ปีต่อ 1ครั้งและเสนอให้ปรับค่าจ้างประจำปีแทน ซึ่งต่อประเด็นดังกล่าวนี้มีข้อสังเกตว่า

1. การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำควรพิจารณาบนฐานความเป็นจริงว่า ค่าครองชีพมีความแตกต่างกันระหว่างพื้นที่เขตเมืองกับเขตชนบท มิใช่แตกต่างกันระหว่างจังหวัด โดยจะเห็นว่าพื้นที่เขตเมืองของแต่ละจังหวัดมีอัตราค่าครองชีพใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ

2. การปรับค่าจ้างขั้นต่ำทุกปีหรือไม่ ควรพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงภาวะค่าครองชีพ ควรปรับให้สูงขึ้นตามค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น

3.โครงสร้างคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ ฝ่ายลูกจ้างเสนอให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัด ซึ่งมีทั้งข้อดี และข้อเสีย โดยข้อดีคือทำให้เกิดการกระจายอำนาจไปสู่ภูมิภาค ข้อเสียคือ การเคลื่อนไหวแรงงานเพื่อเรียกร้องการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทำได้ยาก และลูกจ้างในส่วนภูมิภาคขาดการรวมตัว ไม่เข้มแข็ง ตัวแทนฝ่ายลูกจ้างที่ได้รับเลือกมา มิใช่ลูกจ้างที่แท้จริง ไม่ได้ทำหน้าที่ต่อรองอย่างแท้จริง

4.การกำหนดอัตราค่าจ้างประจำปีของสถานประกอบการ ควรจัดทำโครงสร้างค่าจ้างชัดเจน โดยให้ถือว่าลูกจ้างที่ไร้ฝีมือ เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ ควรได้รับค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนด แต่เมื่อทำงานครบ 1 ปีขึ้นไป ถือว่าได้มีการพัฒนาระดับฝีมือ ควรปรับค่าจ้างขึ้นตามโครงสร้างค่าจ้างของสถานประกอบการ โดยสถานประกอบการควรคำนึงถึงว่าเมื่อลูกจ้างมีอายุมากขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพทางครอบครัวย่อมมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากต้องมีภาระครอบครัว ดังนั้นจึงควรได้รับค่าจ้างเพียงพอสำหรับการดำรงชีพของลูกจ้างและสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 2 คน เช่น ลูกจ้างที่ทำงานครบ 5-10 ปีขึ้นไปเป็นต้น

5.ปัจจุบันมีคำชี้แจง ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง อัตราค่าจ้างตามระดับมาตรฐานฝีมือแรงงาน โดยกำหนดแนวทางการปรับค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน ซึ่งต้องมีการสอบวัดระดับฝีมือ อย่างไรก็ตามควรมีการระบุระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างด้วย

6.การคำนวณอัตราค่าจ้างรายชิ้นของแรงงานนอกระบบ หากคำนวณชั่วโมงการทำงาน 8 ชั่วโมง ควรได้รับค่าจ้างเท่ากับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและควรบวกรวมต้นทุนค่าน้ำ ค่าไฟด้วย เนื่องจากทำงานอยู่กับบ้าน อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายคงเป็นไปได้ยาก อาจต้องใช้กลไกอื่นเข้ามาช่วย เช่น การจัดตั้งกลุ่มแรงงานนอกระบบเพื่อเป็นกลไกที่สำคัญในการเจรจาต่อรองเรื่องค่าจ้าง

ประเด็นสุดท้ายที่จะกล่าวคือ เราจะกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นตํ่าอย่างไร จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด นี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องหาข้อสรุปร่วมกันให้ได้ ซึ่งมีหลายแนวทางด้วยกัน ดังต่อไปนี้

1. สร้างแบบจำลองเพื่อคำนวณผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ปัจจุบันหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดไม่ชัดเจนและมีความแตกต่างกัน คณะกรรมการค่าจ้างในแต่ละจังหวัดใช้ข้อมูล ในการพิจารณาไม่เหมือนกัน โดยบางจังหวัดมีข้อมูลมากถึง 16 แหล่งข้อมูล แต่บางจังหวัดใช้ข้อมูลน้อยมากเพียง 1 แหล่งข้อมูลเท่านั้น ดังนั้นจึงควรมีหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอย่างชัดเจน และเป็นมาตรฐานที่ยอมรับทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อไม่ต้องใช้การเจรจาต่อรองหรือใช้ความรู้สึกในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ ด้วยเหตุที่การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมีผลต่อทุกภาคการผลิตและมีผลต่อเศรษฐกิจมหภาคด้วย ดังนั้น ในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ กระทรวงแรงงานควรจัดทำแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างต่อเศรษฐกิจมหภาค และจัดทำแบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (CGE) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ด้วย ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินผลดีและผลเสียของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ และกำหนดระดับของค่าจ้างขั้นต่ำได้โดยมีผลการศึกษาวิเคราะห์รองรับและมีความเป็นวิทยาศาสตร์ กล่าวคือไม่ต้องใช้ดุลพินิจหรืออำนาจต่อรองของภาคีต่าง ๆ แต่เกิดจากการคำนวณบนฐานทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และข้อมูลจริงทางเศรษฐกิจ

ผู้หญิง-ประสิทธิภาพหรือความมักง่ายของโรงงานอุตสาหกรรม???

น.ส.นภสร สิงหวณิช

การเข้ามาของระบบทุนนิยมทำให้ประเทศไทยพยายามผันตัวเองให้เป็น “เสือตัวที่ห้า” หรือ ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ( Nics) ดังนั้น “การผลิตภาคอุตสาหกรรม” จึงกลายเป็นเศรษฐกิจกระแสหลักแทนที่ “การผลิตภาคเกษตรกรรม” จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้เกิดร้านค้าและบริการประเภทต่างๆขึ้นในหลายๆพื้นที่ ต่างก็ต้องใช้แรงงานหญิงเป็นจำนวนมาก ซึ่ง “แรงงานสตรี” ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ต่างจังหวัด จบการศึกษาระดับประถมศึกษาลงมา บิดา-มารดา มีอาชีพเป็นเกษตรกร ต่างเดินทางเข้าเมืองเพื่อหวังว่าจะมีงานที่ทำเงินได้ไปกว่าการทำไร่ไถนาที่บ้านเกิด

ในงานวิจัยของ น.ส. สุจินตนา สิงหโกวินท์ ที่ได้เข้าไปศึกษาในโรงงานอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป แห่งหนึ่ง ย่าน ปากเกร็ด-นนทบุรี ในปี พ.ศ. 2538 ได้ชี้ให้เห็นถึงแรงงานสตรีในขณะนั้นว่า พวกเธอมีความเป็นอยู่ที่อัตคัต ไม่ว่าจะเป็น น้ำดื่ม หรือ ห้องส้วม ที่ไม่เพียงพอ อาหารกลางวันที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ ไม่มีแพทย์-พยาบาลคอยรักษาเวลาเจ็บป่วย ไม่มีวันลาหยุด เนื่องจาก ความต้องการที่จะลดต้นทุนการผลิต กอปรกับ นายจ้างเป็นชนชั้นที่ต่อรองกับกฎหมายได้อย่างไม่หวั่นเกรง การได้มาซึ่งผลผลิตโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพ และความเป็นอยู่ของลูกจ้าง อีกทั้ง สภาพสังคมไทยยกให้ “เพศชาย” เป็นใหญ่ ทำให้แรงงานหญิงไม่ได้รับสวัสดิการคุ้มครองแรงงานตามที่กฏหมายกำหนดไว้ นอกจากนี้ยังพบว่า แรงงานหญิงในโรงงานแห่งนี้ ส่วนมากมีสถานภาพโสด หากสมรสแล้วก็มักจะปิดบังไว้ เพราะเกรงว่านายจ้างจะไม่รับเข้าทำงาน เนื่องจากต้องจ่ายค่าแรงในวันลาคลอด และการใช้แรงงานหญิงที่สมรสแล้วเกินเวลาปกติ ทำให้เสียค่าแรงไปโดยใช่เหตุ นอกจากนี้สตรีที่สมรสแล้วด้วยความที่ต้อง “ทำงานแข่งกับเวลา” เพื่อเพิ่มผลผลิตให้ได้ตามที่นายจ้างต้องการรวมทั้งเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว พวกเธอต้องทำงานห่ามรุ่งห่ามค่ำ ทำให้ไม่มีเวลาได้อบรมดูแลลูก นอกจากนั้นพวกเธอยังขาดแรงจูงใจในการทำงาน ที่แม้ว่าจะทำงานมานานเท่าไร แต่พวกเธอก็ยังคงตำแหน่งเดิมอยู่เหมือนวันแรกที่เข้ามาในโรงงานแห่งนี้ เพราะตำแหน่งสูงมีน้อย และนายจ้างมักเข้าใจ ว่าพวกเธอเมื่อเป็นงานก็จะออกไปรวมไปถึงสิทธิเล็กๆน้อยๆ ในกิจกรรมที่สุนทรีย์ เช่น การออกกำลังกาย การดูโทรทัศน์ ฟังข่าวสาร และรายการบันเทิงจากวิทยุ ก็ถูกห้าม เพราะ มองว่าจะทำให้เป็นการเสียเวลาและขาดสมาธิในการทำงาน หากจากพูดถึงสาเหตุแล้ว เราได้กล่าวถึงนายจ้างไปในข้างต้นแล้วว่า คิดถึงแต่รายได้และผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ทางด้าน แรงงานสตรี อย่างที่รู้กันพวกเธอ มีฐานะยากจน ความรู้น้อย ไม่รู้กฎหมายการทำงาน ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาพวกเธอจึงไม่อาจตอบโต้ เพราะเธอไม่รู้ว่าจะเรียกร้องอะไร สถาบันที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ในภาครัฐก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่น้อย ไม่มีความเข้าใจธรรมชาติของแรงงานหญิง อีกทั้งยังต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บังคับบัญชาอีกด้วย ซึ่งมักก็ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ปัญหาเสียเท่าไร ส่วนหน่วยงานเอกชนนั้นที่มีเพียง 4 แห่งใน กรุงเทพฯ มักไม่เคยเข้าถึงโรงงานเลย เพราะถูกปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง

นี่คือหนึ่งกรณีศึกษาของสภาพแรงงานหญิงในสมัยนั้นว่า พวกเธอถูกกดขี่มากเพียงใดจากนายจ้าง ซึ่งได้ส่งผลกระทบที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในเวลาต่อมา เนื่องจากต่างชาติมักเอาเรื่องมาตราฐานแรงงานมาอ้างในการกีดกันการค้า ดังนั้น “กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน” จึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของแรงงานหญิง และริเริ่มโครงการตรวจคุ้มครองแรงงานหญิง เพื่อสนับสนุนการส่งออก ในปี พ.ศ. 2542 โดยมีการตรวจสอบสถานประกอบการส่งออกที่เข้าร่วมโครงการว่ามีการใช้แรงงานหญิงได้ตามมาตราฐาน และถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ หากผ่าน สถานประกอบการนั้นๆก็จะได้รับ “ประกาศเกียรติคุณ” เพื่อเป็นเครื่องการันตี ว่าได้มาตราฐานจากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ปรากฏว่าได้มีสถานประกอบการถึง 183 แห่ง เข้าร่วมโครงการ และผ่านเกณฑ์ถึง 134 แห่ง และในปีถัดมาก็เพิ่มขึ้นเป็น 162 จึงเป็นนิมิตหมายอันดีต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแรงงานหญิง ที่กำลังจะสดใสขึ้น พร้อมกันนี้ได้มี “โรงเรียนเพื่อผู้ใช้แรงงานใหม่” ที่พัฒนามาจาก โครงการฝึกอาชีพแรงงานในภูมิภาคเพื่อบรรเทาปัญหาการว่างงานของแรงงานหญิง เพื่อเป็นการช่วยเหลือและสร้างโอกาสให้กับแรงงานหญิงที่ถูกเลิกจ้าง ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานในสายสามัญ เพิ่มพูนทักษะในสายงานในระดับที่สูงขึ้น เพื่อพวกเธอจะได้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากขึ้น ทำให้เป็นแรงงานคุณภาพ มีความสามารถ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นการไม่ให้หันเข้าหา ยาเสพติด และ การค้าประเวณี ซึ่งจะเป็นปัญหาสังคมต่อมา

ในปีพ.ศ. 2545 ได้มี แผนพัฒนาสตรีในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (2545-2549) ได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาสตรี รวม 5 ยุทธศาสตร์ โดยมีสาระสำคัญคือ การพัฒนาศักยภาพสตรี การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทุกระดับ และ ความเสมอภาคทางเพศ จะเห็นได้ว่าภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับ แรงงานหญิง มากขึ้นจากสมัยก่อนมาก สืบเนื่องจากการที่มีกฏหมายคุ้มครองแรงงานสตรี และการให้สิทธิสตรีในด้านต่างๆอย่างกว้างขวาง รวมไปถึงการถือกำเนิดขึ้นของ โครงการฝึกอาชีพ ที่ส่งเสริมการศึกษาสตรีผู้ด้อยโอกาส ทำให้กลุ่มแรงงานหญิงทั้งหลาย เริ่มที่จะมีสิทธิ์มีเสียง เพราะ พวกเธอมีความรู้ทางกฎหมาย บ้างแล้ว จึงได้รวมตัวกันเป็นเครือข่ายแรงงานกัน เข้าร่วมกับองค์กรเพื่อสิทธิสตรีต่างๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิที่พวกเธอพึงมีหรือในยามที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม อย่างล่าสุด ในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมากลุ่มบูรณาการแรงงานสตรีนำคณะเครือข่ายแรงงานหญิง 44 เครือข่าย อาทิ แรงงานหญิงอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น แรงงานหญิงจากจังหวัดสระบุรี เช่น แรงงานอุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์ เป็นต้น ร่วมกันชุมนุมด้านหน้าอาคารที่ทำการสหประชาชาติ จากนั้นเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องทวงสิทธิการมีส่วนร่วมของผู้หญิง ในการบริหารจัดการไตรภาคีในกระทรวงแรงงาน และการให้มีการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อผู้หญิงที่ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวและเลี้ยงลูกด้วยในเวลาเดียวกัน

นางเพลินพิศ ศรีสิริ ประธานกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี กล่าวว่า เมื่อ 15 ปีก่อน กลุ่มบูรณาการแรงงานสตรีได้รวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐกำหนดวันลาคลอดของแรงงานหญิง 90 วันได้สำเร็จ แต่สำหรับสภาพเศรษฐกิจ ประเทศไทยขณะนี้ ผู้หญิงต้องทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย จึงมีความจำเป็นต้องหาที่เลี้ยงเด็กในระหว่างทำงาน และพบว่าเกิดปัญหาถูกหักค่าแรง เนื่องจากต้องลางานไปรับส่งลูกที่สถานเลี้ยงเด็ก เพราะสถานเลี้ยงเด็กของเอกชนจะเปิดทำการเวลาเดียวกับเวลาทำงานจึง อยากเรียกร้องเรื่องศูนย์เลี้ยงเด็กในวันนี้

ปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่า แรงงานสตรีจะมีความรู้ มีทักษะการทำงาน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถแสดงความคิดเห็นและเรียกร้องสิทธิได้แล้ว แต่ว่าก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายๆด้านอยู่ แต่ก็นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากจากสมัยก่อน และคาดว่าในอนาคต ปัญหาแรงงานสตรีคงจะลดน้อยลง หรืออาจะหมดไป ถ้าหากว่าพวกเราต่างให้ความร่วมมือและเล็งเห็นความสำคัญของ แรงงานหญิง ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และ ในฐานะ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันอยู่

การควบคุมแรงงานต่างด้าว

นางสาวกิตยาพรรณ ทองมาก

แรงงานต่างด้าวและทางแก้ปัญหา

ปัจจุบัน มีคนต่างด้าวที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแรงงานพม่า กัมพูชา ลาว ที่พากันลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย จุดประสงค์ที่เข้ามาคือการเข้ามาทำงานซึ่งอาชีพที่ทำมักจะเป็น แรงงานตามงานก่อสร้างหรืองานที่ใช้แรงงานหนักๆ ในปัจจุบันนี้ได้มีการควบคุมแรงงานต่างด้าวโดยยกเลิกพระราชบัญญัติเดิมและ ออกใหม่เป็น พระราชบัญญัติการทำงานคนต่างด้าว2551 ตามพระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดไว้ว่า คนต่างด้าว หมายถึงบุคคลธรรมดาที่ไม่มีสัญชาติไทย โดยภายในพระราชบัญญัติ มีการกำหนดกฎระเบียบของคนต่างด้าวไว้ด้วย โดยระบุไว้เป็น 6 หมวด คือ
หมวดที่ 1 การทำงานของคนต่างด้าว

หมวดที่ 2 กองทุนเพื่อส่งเสริมคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร

หมวดที่ 3 คณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว

หมวดที่ 4 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การทำงานของคนต่างด้าว

หมวดที่ 5 กำกับดูแล

หมวดที่ 6 บทกำหนดโทษ

โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ อีกทั้งมีการตั้งสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว(สบต.) ซึ่ง สังกัดกรมจัดหาแรงงาน กระทรวงแรงงานขึ้นมาเพื่อดูแลงานในด้านควบคุมหรือจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว และมีการแบ่งส่วนราชการเป็นการเฉพาะ โดยงานควบคุมการทำงานของคนต่างด้าว เป็นแผนกหนึ่งของ “แผนกควบคุมอาชีพคนต่างด้าว”โดยในปี2516ได้รับการจัดตั้งเป็นขึ้นเป็น“กองงานคนต่างด้าว”โดยมีหน้าที่รับผิดชอบตามประกาศของคณะปฏิวัติ โดยจะพิจารณาออกใบอนุญาตทำงานให้แก่คนต่างด้าว ทั้งนี้ภายในปีในปี 2546สำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าวจัดแบ่งส่วนราชการเสียใหม่โดยมีการแบ่งงานออกเป็น 6 กลุ่มและ1 งาน คือ
-งานบริหารงานทั่วไป

- กลุ่มพัฒนาระบบควบคุมการทำงานของคนต่างด้าว

-กลุ่มพิจารณาอนุญาตการทำงานของคนต่างด้าวในระบบ

-กลุ่มพิจารณาอนุญาตการทำงานของคนต่างด้าวนอกระบบ

-กลุ่มพิจารณาอนุญาตการทำงานของคนต่างด้าวเพื่อส่งเสริมการลงทุน

-กลุ่มพิจารณาการตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว”


โดย ในแต่ละปีมีคนต่างด้าวจำนวนมากที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งมีทั้งคนต่างด้าวที่ถูกกฎหมายคือมีการมาขอใบอนุญาตทำงานและอีกประเภท เป็นแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยโดยมิชอบด้วยกฎหมายคนเข้า เมือง ดังนั้นรัฐไทยจึงต้องจัดให้มีหน่วยงานดูแลงานในส่วนนี้โดยเฉพาะ ทั้ง นี้กลุ่มพัฒนาระบบควบคุมการทำงานของคนต่างด้าว คือหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงซึ่งมีอำนาจหน้าที่คือ ศึกษาและวิเคราะห์และเสนอแนะนโยบายด้านแรงงานต่างด้าว พัฒนารูปแบบและกระบวนการพิจารณาอนุญาตการทำงานของคนต่างด้าว จัดทำทะเบียนคนต่างด้าวและเครือข่ายสารสนเทศแรงงานต่างด้าวที่ขออนุญาตทำงาน ดำเนินการเกี่ยวกับเลขานุการของคณะกรรมการคณะอนุกรรมการและคณะทำงานซึ่งได้ รับแต่งตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการทำงานของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทำ งานของคนต่างด้าว

คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบอาชีพในจะมีไทยจะถูกควบคุมโดยในบัญชี ท้ายของพระราชกฤษฎีกากำหนดอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำพ.ศ.2543 และ มีจำนวนอาชีพที่ห้ามทำทั้งสิ้น39รายการเช่น งานก่ออิฐ งานแกะสลักไม้ งานทำเครื่องเขิน เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการ “ส่งเสริมและคุ้มครองการประกอบอาชีพของคนไทย” คน ต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยมีเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะพากันลักลอบเข้ามาตามเขตชายแดนต่างๆของไทยซึ่งรัฐสามารถจับกุม คนเหล่านั้นได้เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ดังนั้น การ ควบคุมของรัฐต้องสร้างกรอบกติกาที่ชัดเจน กฎหมายก็ต้องมีความรัดกุมซึ่งถ้าหากเกิดช่องโหว่ของกฎหมายแล้วจะนำมาซึ่ง กลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์ และผลท้ายที่สุดก็จะเกิดเป็นขบวนการค้ามนุษย์ขึ้นมา โดยในการจัดการกับปัญหาหาแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบนั้นต้องยึดหลักของ กฎหมายและหลักเมตตาธรรมควบคู่กันไป แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความมั่นคงของชาติ คำนึงถึงการให้สิทธิของคนในชาติมีงานทำและให้การดูแลคุ้มครองแรงงานของเราก่อน “โดยวิธีปฏิบัติการในการควบคุมแรงงานต่างด้าวนั้นจะต้องดูทั้งสองด้านคือsupply sideและdemand side ซึ่งsupply side ก็คือด้านของแรงงานที่เข้ามาอยู่ภายในประเทศไทยจำนวนมาก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงด้านdemand side ว่า นายจ้างหรือสถานประกอบการต้องการแรงงานมากน้อยเพียงใดและแรงงานใดที่ควรจะ ให้แรงงานไทยทำหรือแรงงานใดที่คนไทยไม่ทำแล้วซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปตาม ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้คนไทยจะทำงานที่เป็นลักษณะที่ใช้ความชำนาญมากขึ้น ส่วนแรงงานไร้ฝีมือจึงต้องอาศัยจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทดแทนนับได้ว่า เป็นวัฏจักรของขบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ” ดังนั้นหากทุกคนมีทัศนคติดังกล่าวร่วมกันแล้วก็จะทำให้การแก้ปัญหาในเรื่องแรงงานง่ายขึ้น

หาก มองในภาคปฏิบัติแล้ว แรงงานต่างด้าวมักได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมทั้งในเรื่องค่าตอบแทน การประกันสุขภาพ และการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าคนต่างด้าวจำพวกนี้เป็นประเภทที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย และก็ลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ดังนั้นวิธีการที่จะขจัดปัญหาดังกล่าวก็คือ แรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายต้องได้รับใบอนุญาตในการทำงานโดยต้องมาขึ้น ทะเบียนทั้งนี้เพราะป็นการดึงให้คนเหล่านั้นขึ้นมาอยู่ภายใต้การดูแลและคุ้ม ครองจากรัฐตามหลักของกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน
ในการนี้ปัญหาที่คนต่างด้าวต้องการเรียกร้องจากอำนาจรัฐก็คือ

-มีการเปิดโอกาสให้มีการจดทะเบียนคนต่างด้าวได้ตลอดเวลายกเลิกระบบการประกันตัวและให้จัดทำเอกสาร หรือสื่อที่เป็นภาษาของแรงงานข้าม ชาติเหล่านั้น

- พัฒนากลไกคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายแรงงานให้มีการก่อตั้งสหภาพแรงงานและสามารถเข้า ระบบประกันสังคมมีมาตรฐานอาชีวอนามัย และความปลอดภัยในการทำงานที่ชัดเจน

-มีนโยบายคุ้มครองแรงงานไม่ให้นายจ้างถูกยึดบัตรอนุญาตการทำงาน เป็นต้น

โดย เหล่านี้เป็นข้อเรียกร้องเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของแรงงานข้ามชาติหรือแรง งานต่างด้าวที่ต้องการศักดิ์ศรีความเท่าเทียมในฐานะแรงงานประเภทหนึ่งซึ่ง พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่มีผลต่อสภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย

กฎหมาย ต่างๆที่ใช้ควบคุมแรงงานต่างด้าวในปัจจุบันมีมากมายหลายฉบับที่เข้ามาดูแล เช่นกฎกระทรวงทั้ง10กว่าฉบับ หรือระเบียบต่างๆของการเข้าเมืองและการขอวีซ่า เป็นต้น แต่ทั้งนี้กฎหมายหลายฉบับก็มีความไม่เสมอภาคมากนัก เช่น ปี2551 นี้ได้มีการออกพรบ.การทำงานคนต่างด้าวเพื่อดูแลควบคุมแรงงานต่างด้าวในไทย แต่เมื่อมีการตรวจสอบเนื้อหาสาระของพรบ.ดังกล่าว ได้มีการเรียกร้องของกลุ่มเครือข่ายการปฏิบัติการด้านแรงงานข้ามชาติ(ANM) ได้มีการเรียกร้อง 6ประเด็นทั้งนี้เพื่อให้กระทรวงแรงงานเข้าไปดูความถูกต้องและชอบธรรมตามหลัก สิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติที่ควรจะได้รับ ตัวอย่างเช่นเรื่องการตรวจค้นโดยไม่มีหมายค้นซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถ กระทำได้ ฉะนั้นต้องมีการเปลี่ยนสาระสำคัญ

กล่าว คือ ประเทศไทยมีการควบคุมแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบโดยมีการจัดตั้งตามที่ กระทรวงแรงงานกำหนด อีกทั้งมีหน่วยงานเฉพาะที่กำกับดูแล นั่นคือสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ซึ่งสังกัดกรมจัดหาแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดย การแก้ปัญหาในเรื่องของคน ต่างด้าวนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อสิทธิของคนไทย ทั้งนี้องค์กรของรัฐจะกระทำการเพื่อมนุษยธรรมและเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยหากว่าคนต่างด้าวเหล่านั้นยังเป็นคนไม่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศ ก็ล้วนแต่จะเกิดปัญหาต่างๆตามมา เช่น โรคติดต่อ อาชญากรรม การกดขี่แรงงาน การค้ามนุษย์ ปัญหาความมั่นคง เป็นต้นซึ่งถือว่าไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติอย่างแน่แท้ ดังนั้นในการแก้ปัญหาจึงต้องมองอย่างเป็นระบบ อย่ามองเพียงจุดใดจุดหนึ่ง แต่ กระนั้นก็ตามประเด็นที่สำคัญในการควบคุมแรงงานต่างด้าวคือต้องคำนึงในเรื่อง หลักสิทธิมนุษยชนเป็นที่ตั้ง ด้วยเพราะอย่างไรก็แล้วแต่แรงงานต่างด้าวเหล่า นั้นก็เป็นเพื่อนมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับเราทุกคน

แรงงานเด็ก "ปัญหาที่คุณไม่ควรมองข้าม"



แรงงานเด็กภาษาอังกฤษเรียกว่า Child Labour โดยความหมายของแรงงานเด็ก หมายถึง การใช้เด็กทำงานในลักษณะที่เป็นอันตรายต่อเด็กหรือมีการเอารัดเอาเปรียบเด็กจนเกินไป แรงงานเด็กถือได้ว่าเป็นแรงงานของเด็กอายุที่ต่ำกว่าขั้นที่กำหนดไว้คือ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15ปีตามองค์กรแรงงานระหว่างประเทศได้นิยามความหมาย สำหรับงานนั้นเป็นการใช้งานที่มีอันตรายต่อเด็กหรือส่งผลเสียต่อร่างกาย จิตใจหรือศีลธรรมของเด็ก และ รูปแบบของแรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด ได้แก่ การใช้แรงงานเยี่ยงทาส การค้ามนุษย์ แรงงานขัดหนี้ แรงงานบังคับ การบังคับเกณฑ์ แรงงานเพื่อการสงคราม การค้าประเวณี การผลิตสื่อลามก และกิจกรรมต่างๆที่ผิดกฎหมาย สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งไม่ครอบคลุมลูกจ้างภาคเกษตรกรรม และลูกจ้างที่รับงานไปทำที่บ้าน ได้กำหนดอายุขั้นต่ำของ ลูกจ้างคือ 15 ปี แรงงานเด็กตามกฎหมายคือ ลูกจ้างที่มีอายุตั้งแต่15ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง18 ปีบริบูรณ์
จากความหมายของแรงงานเด็ก จะเห็นว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ถือว่าเป็นแรงงานที่ผิดกฎหมาย โดยสภาพของเด็กแล้วอยู่ในสภาวะการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกาย ความคิดความรู้ หากเมื่อเด็กขาดโอกาสทางการศึกษา ขาดอาหารที่เพียงพอต่อโภชนาการ ขาดสภาพแวดล้อมที่ดีนั้น เด็กก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี เมื่อเด็กเข้าสู่ระบบของการทำงานในการใช้แรงงานแทนที่การหาความรู้ การหาความสนุกสนานตามวัยเด็กๆนั้น กระบวนการใช้ความคิดหรือวิธีการดำเนินชีวิตก็เปลี่ยนไป จากที่เด็กควรนอนหลับอย่างเพียงพอก็ต้องออกไปทำงานอดหลับอดนอน เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน เพื่อเปลี่ยนแปลงจากสภาพปัญหาทางเศรษฐกิจเด็ก เมื่อยังไม่ถึงวัยในการใช้แรงงานย่อมจะมีภาวะกำลังที่อ่อน การทำงานซึ่งอาจจะขัดแย้งต่อการบังคับกำลังของนายจ้างทำให้เกิดการทำร้ายทารุณร่างกายเพื่อให้เกิดความพอใจในผลผลิตที่ได้ เด็กเมื่อเกิดความตึงเครียดทุกวันแตกต่างจากเด็กอื่นๆที่ควรมีความคิดความเป็นเด็กที่ร่าเริงก็จะมีผลกระทบต่อจิตใจของเด็ก เด็กจะเกิดความไม่สมดุลของร่างกายและอารมณ์


สืบเนื่องมาจากนโยบายที่เร่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม และ การจ้างแรงงานไร้ฝีมือ นำไปซึ่งวัฏจักรของความยากจนป็นผลมาจากแรงงานในระดับหัวหน้าครอบครัวทั้งชายและหญิงมีการศึกษาต่ำ ได้รับค่าจ้างในระดับต่ำ ส่งผลให้โอกาสทางการศึกษาของเด็กในครอบครัวน้อยลงตามไปด้วย และมีแนวโน้มที่เด็กเหล่านี้จะเข้ามาสู่ตลาดแรงงานในรูปของแรงงานเด็ก นอกจากนี้การขาดแคลนแรงงานอาจกดดันให้มีการจ้างแรงงานเด็กแทนแรงงานต่างชาติที่รัฐบาลต้องการให้ลดจำนวน ทำให้แรงงานที่เติบโตมาจากแรงงานเด็ก มักจะตกอยู่ในสภาพของคนด้อยโอกาสต่อไปตลอดชีวิต เนื่องจากแรงงานเด็กจะได้รับค่าจ้างต่ำ ขาดโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำให้ไม่สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของตนได้ในระยะยาว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตของประเทศในระยะยาวลดลง การพัฒนาประเทศเป็นไปได้ช้า เนื่องจากแรงงานขาดทักษะและประชาชนมีระดับการศึกษาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และส่งผลกระทบต่อสังคมในแง่ปัญหาสังคมต่างๆ เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม เนื่องจากมีประชากรที่มีรายได้น้อยเป็นจำนวนมาก และเกิดช่องว่างมากระหว่างผู้ด้อยโอกาสและประชาชนส่วนอื่นในสังคม

สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการใช้แรงงานเด็ก
พิจารณาจากภาพรวม
ความยากจน กระบวนการพัฒนาประเทศส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างสถานะทางเศรษฐกิจของประชากรในประเทศมากขึ้นทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน โดยความยากจนของครอบครัวนี้เอง แม้รัฐจะจัดการศึกษาภาคบังคับให้เปล่า ทำให้มีเด็กบางส่วนที่ไม่อาจได้รับประโยชน์ดังกล่าวได้ จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พบว่าในปี 2531 ยังมีเด็กกลุ่มอายุ 4-11 ปีอยู่นอกระบบโรงเรียนถึง 549,502 คน หรือ 7.27% ของกลุ่มอายุ และเด็กอายุ 12-14 ปี อยู่นอกระบบโรงเรียนถึง 2,477,917 คน 66.99% ของกลุ่มอายุ เหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกผลักดันให้เข้าสู่ตลาดแรงงาน ในลักษณะเป็นแรงงานไร้ฝีมือ เมื่อรวมทั้งเด็กที่จบการศึกษาภาคบังคับอีกส่วนหนึ่งที่ไม่มีโอกาสจะเรียนต่อ ไม่มีทางจะทำมาหากินในหมู่บ้านของตนเอง ก็จะเป็นจำนวนมหาศาล
นอกจานี้ด้านสภาพการณ์อันเป็นข้อจำกัดต่างๆ กฎหมายแรงงานของไทยเราจึงยอมให้เด็กอายุ 13 ปี ( เดิม 12 ปี ) แต่ยังไม่ถึง 15 ปี ทำงานบางประเภทได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ประกอบกับกลไกการควบคุมดูแลของทางราชการ ยังกระทำไม่ได้อย่างเข้มงวดและทั่วถึง อีกทั้งสังคมโดยทั่วไปก็ยังไม่ตระหนักถึงผลกระทบต่อเด็ก และผลเสียโดยส่วนรวมของคุณภาพประชากรของประเทศ การใช้แรงงานเด็กจึงเป็นเรื่องที่ยังไม่อาจป้องกันและแก้ไขให้ได้ผลเท่าที่ควร แม้ว่าจะมีนโยบายและมาตรการต่าง ๆ กำหนดไว้แล้วมากมาย
พิจารณาจากครอบครัวและตัวเด็ก
- การเร่งรัดการผลิตเพื่อจำหน่าย ทำให้ครอบครัวเกษตรกรต้องลงทุนเพิ่มขึ้นในการใช้เทคโนโลยีตามคำแนะนำของทางราชการ และเมื่อประสบกับภัยธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนความแห้งแล้ง ที่เกษตรกรต้องเสี่ยงภัยเองทั้งสิ้น ทำให้ครอบครัวและเกษตรกรหมดตัว เป็นหนี้สิ้น บางครอบครัวไม่มีข้าวกินเพียงพอตลอดปี เด็ก ๆ ก็ต้องมีบทบาทช่วยตนเองและช่วยครอบครัวด้วยในที่สุดด้วยการเดินทางจากบ้านไปหางานทำ
- นอกจากปัจจัยความยากจนที่เป็น ปัจจัยผลักดัน แล้ว ยังมีปัจจัยดึง ที่จะมองข้ามความสำคัญไปไม่ได้ คือ การอยากมาเที่ยวหรือแสวงหาประสบการณ์ อยากมีเงินใช้ส่วนตัวตามอิทธิพลของ บริโภคนิยม ที่ผ่านทางสื่อมวลชนหรือทางพี่น้อง เพื่อนฝูงที่เคยไปเผชิญโชคมาแล้ว
พิจารณาจากด้านนายจ้าง
- เด็กปกครองง่าย ใช้และสอนง่ายกว่าผู้ใหญ่ ไม่รู้และเรียกร้องสิทธิ
- ค่าจ้างถูกกว่าผู้ใหญ่ ( ทั้ง ที่ต้องจ่ายเท่ากันตามกฎหมาย แม้แรงงานผู้ใหญ่เองก็ไม่ค่อยจะได้รับตามอัตราที่กฎหมายกำหนด)
- ลักษณะงานบางอย่างเหมาะกับเด็ก เช่น งานง่าย ๆ แต่ทำว้ำวาก
- เด็กติดตามพ่อแม่ซึ่งมาทำงานและไม่มีอะไรจะทำ
พิจารณาจากกระบวนการผลิตและบริการ
- การขยายภาคอุตสาหกรรมทำให้เกิดกระบวนการผลิตอันหลากหลาย ที่สามารถแบ่งออกเป็นช่วงเป็นตอนแล้วทำการจ้างเหมาช่วยงานกันต่อๆ ไป โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกบางอย่าง เช่น กิจการตัดเย็บเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องหนัง ดอกไม้ประดิษฐ์ เจียระไนพลอย ฯลฯ และกิจการเหล่านี้มีงานจุกจิกบางอย่าง เช่น การบรรจุห่อของ ตัดขี้ด้าย ติดกระดุม ทากาว พับผ้า ตัดหนัง พันก้านดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งเด็ก ๆ ทำได้เพราะไม่ต้องการทักษะฝีมืออะไรมากมายนัก
- หน่วยงานผลิตและบริการจำนวนมากยังมีขนาดเล็ก ต้องการลดต้นทุนเป็นหัวใจ จึงนิยมการใช้แรงงานเด็กซึ่งราคาถูก สามารถใช้งานอื่น เช่น งานบ้านผสมผสานไปด้วยได้ ลักษณะการจ้างทำนองนี้จะมีกระจายอยู่ทั่วไป
- แม้แต่งานเกษตรกรรมก็มีเยาวชนรับจ้างมากขึ้นโดยลำดับ ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วย เช่น ในงานประมง สวนยาง การทำไร่อ้อย เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชไร่ ฯลฯ
พิจารณาจากกระบวนการจัดหางาน
- สำนักจัดหางาน เมื่อมีความต้องการจากตลาดแรงงานเด็กมากขึ้น สำนักจัดหางานเหล่านี้จะมีรายได้สูงขึ้น
- ในทางปฏิบัติ จะมีนายหน้าซึ่งมักจะเป็นคนในพื้นที่เอง นำเด็กมาส่งให้โดยรับค่าบริการจากสำนักจัดหางานในอัตราที่จะตกลงกัน
- ปัจจุบันนี้จะมีนายหน้าซึ่งเคยเป็นคนทำงานในกรุงเทพฯ แล้วหรือเป็นแรงงานเด็กเองได้มีบทบาทเป็นนายหน้า ไปนำเด็กมาป้อนโรงงานที่ตนรู้จักหรือเคยทำงานด้วยโดยตรง เป็นการตัดสำนักจัดหางานออกไป หรือแม้แต่พ่อแม่หรือญาติของเด็ก ก็อาจทำหน้าที่เป็นนายหน้าเสียเองก็มี
- ปรากฏการณ์ล่าสุดที่ต้องติดตามศึกษาอย่างใกล้ชิด คือ การติดโปสเตอร์หาคนงานเสมือนหนึ่งเป็นโรงงานจัดหางานเอง แต่เมื่อติดต่อไปตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้ได้ ก็พบว่าเป็นสำนักจัดหางานมิใช่โรงงานโดยตรง และมักจะนัดหมายให้ไปพบ ณ สถานที่บางแห่ง ซึ่งมิใช่สำนักจัดหางานหรือโรงงาน ในบางกรณีก็มีการเรียกร้องค่าบริการสูงโดยอ้างว่างานที่จัดหาให้มีรายได้ดีมีความมั่นคง ฯลฯ ปรากฏการณ์นี้มีร่องรอยของความไม่ชอบมาพากลบอยู่มาก เป็นที่น่าวิตกกว่าอาจเกิดภัยแก่เด็กที่ไม่รู้เท่าทันได้ และจะติดตามกรณีได้ยาก


สถานการณ์แรงงานเด็กของประเทศไทย
1. การกระจายของแรงงานเด็ก
ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม ณ เดือนธันวาคม 2541 แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบัน แรงงานเด็กที่ทำงานในสถาน ประกอบการ อายุตั้งแต่ 15 - 17 ปี มีประมาณ 1.25 แสนคน ส่วนใหญ่ทำงานกระจุกตัวอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและ ปริมณฑล ในกิจการตัดเย็บเสื้อผ้า เย็บกระเป๋า รองเท้า เจียระไนพลอย ทำเครื่องประดับ ซ่อมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง และร้านอาหาร จากการตรวจ แรงงานเด็กของเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พบว่า แรงงานเด็กที่ทำงานในสถานประกอบการ ร้อยละ 85 จะมีอายุระหว่าง 15 - 17 ปี สำหรับสถานประกอบการขนาดใหญ่ไม่พบว่า มีการใช้ แรงงานเด็ก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกระบวนการผลิต และการใช้เทคโนโลยีการผลิตจำเป็นต้องใช้แรงงานที่มีวุฒิภาวะ และสรีระทางร่างกายที่แตกต่างจากเด็ก
2. การใช้แรงงานเด็กในประเทศไทย สถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมีผลกระทบต่อการใช้แรงงานเด็ก โดยพบว่า แรงงานเด็กในสถานประกอบ การภาคอุตสาหกรรมลดลง แต่คาดว่ามีแรงงานเด็กในภาคเกษตรกรรมและบริการเพิ่มขึ้น และกระจายตัวสู่ชนบทมากขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อการ ใช้แรงงานเด็กในประเทศไทยที่สำคัญคือ
แรงกดดันจากประชาคมโลกในเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเรียกร้องให้ยุติการใช้แรงงานเด็กอย่างไม่เป็นธรรม มีผลกระทบต่อทั้ง ด้านการค้าระหว่างประเทศและภาพลักษณ์ของประเทศ
ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ทำให้ผู้ประกอบการพยายามลดต้นทุน โดยการจ้าง งานแบบเหมาช่วงและให้รับงานไปทำที่บ้าน ซึ่งอาจทำ ให้มีการใช้แรงงานเด็กมากขึ้น ในขณะที่ยังไม่มีมาตรการและกฎหมายในการคุ้มครองอย่างเหมาะสม นอกจากนี้การ ที่เศรษฐกิจ ถดถอยยังมีผลกระทบต่อรายได้ของครอบครัว ทำให้เด็กต้องออกจากระบบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น
มีการใช้แรงงานเด็กต่างชาติชาว พม่า เขมร และลาว ซึ่งเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกจ้างในสถานประกอบ การขนาดเล็ก และงานรับใช้ตามบ้าน เด็กหญิงมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกชักนำเข้าสู่งานบริการทางเพศ
สังคมส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาแรงงานเด็กมากขึ้น การร่วมมือประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ชุมชน ตลอดจนนายจ้างและลูกจ้างมีมากขึ้น
3. การป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานเด็ก
ปัญหาแรงงานเด็กเป็นปัญหาที่สังคมที่มีผลกระทบมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ขาดความสมดุล การป้องกัน และ แก้ไขจึงต้องมีมาตรการที่เป็นระบบและครบวงจรตั้งแต่การรณรงค์มิให้เด็กต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร การสร้าง โอกาสและทาง เลือกในการศึกษาและการประกอบอาชีพแก่แรงงานเด็ก การป้องกันมิให้ถูกหลอกลวง จนถึงการคุ้มครอง มิให้มี การใช้ แรงงานเด็กที่ไม่เป็นธรรม อันเป็นการดำเนินมาตรการทั้งในเชิงป้องกัน คุ้มครอง ส่งเสริมและพัฒนา และเน้นการประสาน ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ภาครัฐและเอกชน ตลอดจนดึงเอาชุมชนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา

8.11.2551

กองทุนเงินทดแทน

นายวัชรพล คัคโนภาส

กองทุนเงินทดแทน การช่วยหลือสำหรับลูกจ้าง


กองทุนเงินทดแทน คือ กองทุนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 เพื่อเป็นกองทุนในการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วย ถึงแก่ความตาย หรือสูญหาย เนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง ซึ่งกองทุนเงินทดแทนนั้นมีวัตถุประสงค์จัดตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างเพิ่มเติม จากเดิมที่มีเพียงกองทุนประกันสังคม ซึ่งเป็นกองทุนที่ให้หลักประกันลูกจ้าง ให้ได้รับประโยชน์ทดแทนเมื่อต้องประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต เฉพาะที่ไม่ใช่เนื่องจากการทำงาน


สำหรับกองทุนเงินทดแทน จะแตกต่างจากกองทุนประกันสังคม ซึ่งนายจ้าง และลูกจ้าง รวมถึงรัฐบาล ต้องเป็นผู้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนร่วมกัน แต่กองทุนเงินทดแทนนั้น นายจ้างต้องมีหน้าที่เป็นผู้จ่ายเงินสมทบเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งต้องขึ้นทะเบียนนายจ้างภายใน 30 วันนับแต่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป จ่ายเงินสมทบประจำปี ปีละ 2 ครั้ง และต้องแจ้งการประสบอันตรายของลูกจ้าง ภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบเหตุ โดยวิธีการในการจ่ายเงินสมทบครั้งที่ 1 จะจัดเก็บภายใน 31 มกราคมของทุกปี ซึ่งเรียกว่า “เงินสมทบประจำปี” ส่วนครั้งที่ 2 จัดเก็บภายใน 31 มีนาคมของทุกปี ซึ่งเรียกว่า “เงินสมทบจากการรายงานค่าจ้าง” เนื่องจากเงินสมทบที่จัดเก็บเมื่อต้นปี คำนวณมาจาก ค่าจ้างที่ได้ประมาณการไว้ล่วงหน้า X อัตราเงินสมทบ และในระหว่างปีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่ม หรือลดค่าจ้าง ดังนั้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นายจ้างจึงมีหน้าที่แจ้งจำนวนค่าจ้างที่จ่ายให้ลูกจ้างทุกคนรวมทั้งปีที่แล้ว ไปให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดทราบอีกครั้ง เพื่อจะนำไปเปรียบเทียบกับค่าจ้างที่ได้ประมาณการไว้เมื่อต้นปี หากค่าจ้างที่ประมาณไว้เดิมน้อยกว่าก็จะเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มภายในเดือนมีนาคม เว้นแต่ค่าจ้างที่ประมาณการไว้สูงกว่าค่าจ้างจริง นายจ้างก็จะได้รับเงินสมทบส่วนที่จ่ายเกินคืนไป และหากนายจ้างจ่ายเงินสมทบเกินเวลาที่กำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับ 3% ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย โดยที่อัตราเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ที่จัดเก็บจากนายจ้าง จะแตกต่างกันตามลักษณะความเสี่ยงภัยในการทำงานของแต่ละกิจการ ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ 131 ประเภทกิจการ อัตราเงินสมทบจะอยู่ระหว่าง 0.2% - 1.0% ของค่าจ้าง เช่น กิจการขายอาหาร ต้องจ่ายเงินสมทบ 0.2% ของค่าจ้าง แต่ถ้าเป็นกิจการก่อสร้างต้องจ่ายเงินสมทบ 1.0% ของค่าจ้าง เป็นต้น


ในเรื่องสิทธิประโยชน์ของลูกจ้าง เมื่อนายจ้างขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนแล้ว ลูกจ้างทุกคนที่ทำงานให้กับนายจ้างจะได้รับการคุ้มครองจากกองทุนเงินทดแทนทันที โดยแบ่งเป็นกรณีดังนี้
1.กรณีเจ็บป่วย ลูกจ้างจะได้รับค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง ตามความจำเป็นไม่เกิน 35,000 บาท ต่อการเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย 1 ครั้ง หากเกินเบิกเพิ่มได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงอีกไม่เกิน 200,000 บาท และจะได้ค่าทดแทนรายเดือนในอัตรา 60 % ของค่าจ้าง หากแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัวติดต่อกันเกิน 3 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี
2.กรณีสูญเสียอวัยวะ ลูกจ้างจะได้รับค่าทดแทนรายเดือนในอัตรา 60 % ของค่าจ้าง ตามประเภทการสูญเสียอวัยวะและระยะเวลาที่กำหนด ส่วนกรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูจะได้รับการฟื้นฟูที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน ของสำนักงานประกันสังคม โดยค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูด้านการแพทย์และอาชีพเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานไม่เกิน 20,000 บาท
3.กรณีทุพพลภาพ ลูกจ้างจะรับได้ค่าทดแทนรายเดือนในอัตรา 60 % ของค่าจ้าง เป็นเวลาไม่เกิน 15 ปี
4.กรณีตายหรือสูญหาย ลูกจ้างจะได้รับค่าทำศพจ่ายให้แก่ผู้จัดการศพ 100 เท่าของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน (ปัจจุบันจ่าย 18,100 บาท) และค่าทดแทนรายเดือนในอัตรา 60 % ของค่าจ้าง เป็นเวลา 8 ปี แก่ทายาท


กองทุนเงินทดแทน ถือเป็นกองทุนที่มุ่งให้ประโยชน์อย่างเต็มที่กับลูกจ้าง เป็นแนวนโยบายของรัฐที่พัฒนาขึ้นจากกองทุนประกันสังคมที่ให้การช่วยเหลือลูกจ้างเฉพาะที่ไม่ใช่เนื่องจากการทำงาน โดยมุ่งเห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติงานของลูกจ้าง ซึ่งถ้าลูกจ้างต้องประสบอุบัติเหตุ หรือเสียชีวิต ในขณะปฏิบัติงาน ลูกจ้างและครอบครัวจะต้องเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งกองทุนเงินทดแทนจะสามารถแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายของลูกจ้างได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการพัฒนากองทุนดังกล่าว เป็นไปเพื่อประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นกับลูกจ้าง ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพให้กับลูกจ้าง และลดการเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนากองทุนดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์เสมอไป เพราะได้เกิดกรณีของโรงพยาบาลเอกชนถอดตัวจากกองทุนเงินทดแทน โดยมีสาเหตุเพราะกองทุนเงินทดแทนไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับโรงพยาบาล โดยที่โรงพยาบาลได้ทดลองจ่ายค่ารักษาพยาบาลลูกจ้างไปก่อน แล้วไปเบิกกับสำนักงานประกันสังคมทีหลัง แต่ด้วยกฎเกณฑ์การพิจารณาของสำนักงานประกันสังคมที่ตั้งมาอย่างซับซ้อน ทำให้โรงพยาบาลเบิกค่ารักษาได้ไม่เต็มที่ ซึ่งสร้างปัญหาให้กับโรงพยาบาลที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไว้เอง ดังนั้นแนวทางการพัฒนากองทุนเงินทดแทน แม้จะเอื้อประโยชน์ให้กับคนส่วนใหญ่ที่เป็นลูกจ้างให้ได้รับสิทธิที่พึงมีจากการปฏิบัติงาน แต่ก็ได้ส่งผลกระทบถึงโรงพยาบาลที่ต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลดังกล่าว ทั้งที่ค่าใช้จ่ายเหล่านั้นต้องเป็นภาระของกองทุนเงินทดแทนที่มีวัตถุประสงค์ในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการพัฒนากองทุนดังกล่าว จึงควรศึกษาและวางกรอบในการจัดการบริหารเงินในกองทุนให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ และต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับบุคคลหรือหน่วยงานอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับลูกจ้างด้วย

สวัสดิการข้าราชการ

นายรณกฤษ ศรีเปรมหทัย

ความรู้เกี่ยวกับสวัสดิการข้าราชการ

การจัดสวัสดิการ หมายถึง กิจกรรมหรือกิจการใดๆที่คณะกรรมการสวัสดิการจัดให้มีขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกให้แก่ข้าราชการเพื่อประโยชน์ในการดํารงชีวิต หรือเพื่อประโยชน์แก่การสนับสนุนการปฏิบัติราชการหรือที่คณะกรรมการสวัสดิการเห็นสมควรให้จัดเพิ่มขึ้นสําหรับส่วนราชการต่างๆ


วัตถุประสงค์
1.สร้างขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงาน
2.ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ปฏิบัติงาน (เศรษฐกิจ สุขภาพกาย สุขภาพใจ สิ่งอํานวยความสะดวกพื้นฐาน)
3.เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยงานกับผู้ปฏิบัติงานและระหว่างผู้ปฏิบัติงานด้วยกัน
4.ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน


ผลการสำรวจภาวการณ์เจ็บป่วยของข้าราชการ,ลูกจ้างประจำ ข้าราชการบำนาญ และบุคคลในครอบครัว ทำการสำรวจใน 12 จังหวัดซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศไทย โดยสุ่มเลือกข้าราชการและลุกจ้างประจำจำนวน 7,260 ราย ข้าราชการบำนาญ 7,060 ราย โดยใช้แบบสอบถามที่ตอบโดยตัวอย่าง (self administered questionnaire) ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2537 ถึงมิถุนายน 2538 จากฐานข้อมูลของกรมบัญชีกลางในปี 2538 มีจำนวนข้าราชการและลูกจ้างประจำทั้งสิ้นจำนวน 1.85 ล้านราย การสำรวจพบว่าจำนวนบุคคลในครอบครัวที่มีสิทธิ์ในสวัสดิการ เฉลี่ยคนละ 2.577 ราย ดังนั้นผู้มีสิทธิ์มีจำนวน 6,634 ล้านราย ส่วนข้าราชการบำนาญในปี 2538 ล้านราย การสำรวจพบว่ามีบุคคลในครอบครัวเฉลี่ยคนละ 0.616 ถึง 0.856 ราย ดังนั้นผู้มีสิทธิ์มีจำนวน 0.322 ถึง 0.37 ล้านราย รวมเป็นผู้มีสิทธิ์ทั้งในกลุ่มข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ข้าราชการบำนาญ และครอบครัว 6.69 ล้านราย ถึง 7 ล้านราย 2. ข้าราชการและบุคคลในครอบครัว มีอัตราป่วย (ที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล) เท่ากับ 4.85 ครั้งต่อคนต่อปี ใช้บริการผู้ป่วยนอกในภาครัฐที่เบิกได้เท่ากับ 40% ใช้บริการที่ไม่สามารถเบิกเท่ากับ 58% และอื่น ๆ อีก 2% 3. ข้าราชการบำนาญและคู่สมรสมีอัตราป่วย (ที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล) เท่ากับ 8.2 ครั้งต่อคนต่อปี ใช้บริการผู้ป่วยนอกในภาครัฐที่เบิกได้เท่ากับ 48% ใช้บริการที่ไม่สามารถเบิกได้เท่ากับ 48% และอื่น ๆ อีก 4% 4. ข้าราชการและบุคคลในครอบครัวมีอัตรานอนโรงพยาบาลในปีที่ผ่านมาเท่ากับ 0.146 ครั้งต่อคนต่อปี ผู้ป่วยเลือกใช้รพ.รัฐ 56% รพ. เอกชน 44% วันนอนเฉลี่ยในภาครัฐ 7 วัน ภาคเอกชน 4 วัน 6. อัตราการนอนโรงพยาบาลของผู้มีสิทธิ์ในสวัสดิการข้าราชการสูงกว่าประชาชนไทยทั่วไปที่รายงานโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (การสำรวจอนามัยและสวัสดิการ 2539) โดยกลุ่มอายุ 0-6 ปีมีอัตรานอนโรงพยาบาลสูงกว่า 2.8 เท่า กลุ่มอายุ 30-34 ปี มีอัตรานอนโรงพยาบาลสูงกว่า 2.2 เท่า และกลุ่มอายุ 60+ มีอัตรานอนโรงพยาบาลสูงกว่า 1.5 เท่า ส่วนกลุ่มอายุ 15-19 ปี อัตรานอนโรงพยาบาลใกล้เคียงกับประชาชนทั่วไป


จากสถิติจะเห็นว่ามีผู้ที่ใช้สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลมากถึงประมาณ 7 ล้านคน โดยบุคคลเหล่านั้นเข้าใช้ทั้งสถานพยาบาลของรัฐและเอกชนในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกันมาก จึงทำให้ทราบว่าบุคคลเหล่านี้มิได้ใช้เพียงสิทธิจากสวัสดิการเพียงอย่างเดียว ยังจ่ายให้กับสถานพยาบาลเอกชนอีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดว่าสวัสดิการนี้สร้างให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะในขณะเดียวกันก็ยังมีสวัสดิการสังคมและหลักประกันสุขภาพมีไว้สำหรับผู้ยากไร้ ซึ่งผู้ที่เป็นข้าราชการและลูกจ้างของรัฐไม่สามารถใช้สิทธินี้ได้ สวัสดิการข้าราชการเป็นตัวเยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการพัฒนาของรัฐ


เมื่อสังคมและเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองต่อวาทกรรมการพัฒนาของตะวันตก การพัฒนาดังกล่าวทำให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต้องปรับค่าจ้างให้สูงขึ้นให้เข้ากับสภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สำนักนายกรัฐมนตรีจะต้องออกระเบียบว่าด้วยการจัดสวัสดิการ ภายในส่วนราชการขึ้นใหม่ให้มีความเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดสวัสดิการอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะมีผลในการเสริมสร้างขวัญ และกำลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานราชการ รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของครอบครัวเขาเหล่านั้นเพื่อเป็นการเยียวยาผลกระทบจากการพัฒนาประเทศในรูปแบบต่างๆของรัฐ โดยจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับข้าราชการเป็นอันดับแรก เพราะ ข้าราชการเป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐและนำนโยบายไปใช้กับประชาชน มิเช่นนั้นแล้วนโยบายจะไม่สัมฤทธิ์ผล


ปัญหาที่เกิดจากการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล
การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ในหน่วยงานของรัฐ ตัวข้าราชการ พ่อแม่ หรือ ครอบครัวของข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของรัฐ จะมีสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลที่ใช้ไป จากหน่วยงานต้นสังกัดได้ โดยในแบบเดิม คือ การที่ข้าราชการ หรือ ครอบครัวใช้จ่ายค่ารักษาไปเท่าไหร่ ก็สำรองจ่ายไปเองก่อนแล้วค่อยมาขอเบิกกับต้นสังกัดในภายหลัง
แต่ในปัจจุบัน หน่วยราชการส่วนใหญ่จะใช้ระบบ DRG4 คือ ราชการจะกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายให้เราเอง และไม่ให้ใช้เกินกว่านี้ เช่น ถ้าเราเป็นหวัด ต้นสังกัดจะจ่ายให้เราแค่ X บาท โรงพยาบาลอยากใช้วิธีการรักษายังไงก็ได้ ตามสบาย วิธีนี้จะสามารถควบคุมการใช้จ่ายเงินของสิทธิเบิกได้ดีขึ้น ไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลบานปลาย แต่จะส่งผลให้เกิดปํญหา คือ ถ้าเราไปโรงพยาบาล เค้าก็ต้องพยายามรักษาเราโดยให้ค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับ DRG มากที่สุด หรือถ้าคิดเลวร้ายกว่านั้น ถ้าคนที่จ่ายเงินไม่สนใจว่าจะจ่ายน้อยหรือมากกว่า DRG ของผู้ป่วย ก็จะกลายเป็นว่า จะรักษาเราโดยให้มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ได้กำไรจากการรักษามากที่สุด และให้ขาดทุนน้อยที่สุด
และในส่วนของการกรอกข้อมูลและเอกสารที่ใช้เป็นหลักฐานในการเบิกจ่ายเงินเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากมากสำหรับผู้ที่พ่อแม่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน เพราะราชการจะมิให้เบิกจ่าย จึงจะต้องมีหลักฐานให้เรียบร้อยและครบถ้วน


สิทธิซ้ำซ้อนที่ใช้ในการเบิกค่ารักษาพยาบาล
ในอดีต ปัญหาเรื่องสิทธิซ้ำซ้อน เป็นปัญหาที่สำคัญมาก โดยผู้ที่ได้รับสิทธิจากสวัสดิการข้าราชการก็อาจมีสิทธิจากประกันสังคม หรือ อาจมีสิทธิจากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ จึงทำให้สิทธิต่างๆถูกกระจุกตัวที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้กระจายไปอย่างทั่วถึงทุกคน และทำให้งบประมาณที่รัฐจัดสรรไว้ให้บานปลายและไม่เพียงพอ รวมทั้งความเข้าใจที่ว่าการออกบัตรซ้ำซ้อนเพื่อหวังงบประมาณรายหัว
แต่ในปัจจุบันปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว คือเมื่อมีสิทธิหลายทาง ตามหลักเจ้าของสิทธิควรมีสิทธิเลือก แต่เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับงบประมาณ พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ จึงบังคับว่าหากมีสิทธิทางอื่นด้วย ให้ใช้สิทธิทางอื่นก่อน แต่ถ้าสิทธิทางอื่นๆนั้น ต่ำกว่าสิทธิตามพระราชกฤษฎีกา จึงมีสิทธินำมาเบิกจากสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการเฉพาะส่วนต่างเท่านั้น
ความคิดเห็นเพิ่มเติม


แนวคิดเรื่องสวัสดิการข้าราชการ สามารถนำมาเป็นพื้นฐานคิดอันนำไปสู่การต่อยอดให้เป็นสวัสดิการของบุคคลทั่วไปได้ เพราะหลักการของแนวคิดสวัสดิการ คือ การสร้างความเท่าเทียมกันให้บังเกิดขึ้น ดังนั้นสวัสดิการที่จำกัดในหมู่ข้าราชการฯลฯ จึงเป็นการจำกัดสิทธิ์อยู่ที่คนบางกลุ่ม โดยในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีสวัสดิการอย่างอื่นที่รัฐจัดให้กับประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นการอุดช่องว่างการจำกัดสิทธิ์ ดังกล่าวที่เห็นได้ในปัจจุบันสามารถนำมาใช้เป็นฐานไปสู่รัฐสวัสดิการในอนาคต

ประกันสังคม

นายพีระวัฒน์ อัฐนาค

ประกันสังคม คือ การใช้เครื่องมือทางสังคม เพื่อป้องกันบุคคลจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาลและมีรายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ไม่ว่าการตกลงมาอยู่ในสภาพดังกล่าวจะเป็นการชั่วคราว หรือถาวร

การประกันสังคมในประเทศไทย ระบบประกันสังคมไทยมีลักษณะเป็นร่ม 3 ชั้น คือ ร่มชั้นแรก เป็นการคุ้มครองแบบสังคมสงเคราะห์ หรือให้เปล่าโดยงบประมาณแผ่นดิน, ร่มชั้นที่สอง เป็นระบบประกันภาคบังคับที่ลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐจ่ายเงินสมทบร่วมกัน และ ร่มชั้นที่สาม เป็นการประกันแบบสมัครใจ
ประเภทของระบบประกันสังคมในประเทศไทย เช่น กองทุนเงินทดแทน นับเป็นก้าวแรกของการประกันสังคมไทยที่ให้หลักประกันแก่ลูกจ้างกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยด้วยโรคอันเนื่องมาจากการทำงาน โดยกรมแรงงานเป็นผู้ควบคุมและบริหารกองทุนนี้ และเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน, โครงการบัตรสุขภาพ เป็นการมุ่งคุ้มครองการเจ็บป่วย การคลอดบุตร ซึ่งหน่วยงานที่ให้บริการ คือ กระทรวงสาธารณสุข, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การคุ้มครองประเภทนี้มีจุดมุ่งหมายคล้ายคลึงกับการประกันชราภาพของการประกันสังคม ปัจจุบันรัฐได้มีการส่งเสริมโดยให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเป็นเครื่องจูงใจ ขอบข่ายความคุ้มครองจึงจำกัดเฉพาะนายจ้าง และลูกจ้างที่ตกลงกันเพื่อร่วมรับผิดชอบ กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ข้อจำกัดของระบบประกันสังคมในประเทศไทย
ระบบประกันสังคมมีความเสี่ยงในเสถียรภาพระยะยาว สามารถอธิบายได้ดังนี้ ปัจจุบันมีการขยายสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น อีกทั้งมีแรงกดดันทางการเมือง ที่ได้นำกองทุนไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น หรือเพื่อสนองนโยบายอื่นๆ เช่น พยุงตลาดหลักทรัพย์ และฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น นอกจากนี้ กฎระเบียบของกองทุนก็เปลี่ยนแปลงได้ยาก ทำให้กองทุนมีการปรับตัวเข้ากับปัญหาใหม่ได้ช้า และสนองความต้องการของผู้ประกันตนได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งยังมีปัญหาการให้บริการไม่ทั่วถึงแก่ผู้ที่อยู่ห่างไกล ประกอบกับจำนวนประชากรในภาคนอกระบบที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองเท่าที่ควร ตลอดจนสถานประกอบการขนาดเล็กจำนวนมาก ก็ยังไม่เข้าสู่ระบบประกันสังคม และผู้ประกันตนส่วนใหญ่ ยังมีหลักประกันไม่เพียงพอ รัฐจึงต้องยกเครื่องระบบประกันสังคม และสร้างโครงข่ายการคุ้มครองทางสังคมกับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคม

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงต้องจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนสร้างระบบกองทุนสวัสดิการ ช่วยเหลือคนยากจนในหมู่บ้าน โดยรัฐจ่ายเงินสมทบกองทุนตามผลงาน ในส่วนกองทุนประกันสังคม ก็ต้องเพิ่มความมั่นคงทางการเงินของกองทุน ด้วยการเพิ่มอัตราเงินสมทบควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีเบี้ยบำนาญชราภาพให้ผู้ชรายังชีพอยู่เหนือเส้นความยากจนให้ได้ นอกจากนี้ ยังต้องจัดสรรงบประมาณ และทรัพยากร เพื่อกระจายบุคลากรทางการแพทย์ ไปสู่พื้นที่ที่ไม่เจริญเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงในอนาคตของการประกันสังคมไทยคือ ปัญหาฐานะการคลังของรัฐที่จะต้องจุนเจือกองทุนต่างๆ มากขึ้น

ปัญหาของแรงงานนอกระบบในประเทศไทย
จากการเสวนาเพื่อผลัดดันนโยบาย เรื่อง ‘ร่วมคิด เร่งสร้าง การคุ้มครองแรงงานนอกระบบ: ชีวิตและงานที่มีคุณค่า’ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2551 ที่ผ่านมา เครือข่ายแรงงานนอกระบบ ร่วมกับแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบเพื่อสุขภาวะ สสส. ได้ร่วมพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานนอกระบบ โดยในการเสวนาดังกล่าว ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. ได้กล่าวถึงจำนวนแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 21.8 ล้านคน จากจำนวนผู้มีงานทำ 35.5 ล้านคน โดยแรงงานนอกระบบยังเข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐานหลายประการ เช่น งานที่ทำขาดความมั่นคง ไม่ได้รับค่าตอบแทนแรงงานที่เป็นธรรม งานที่ทำมีความเสี่ยงและอันตรายต่อสุขภาพ เข้าไม่ถึงกองทุนประกันสังคมและบริการอื่นๆของรัฐ และไม่สามารถใช้สิทธิในการรวมตัวต่อรอง เนื่องจาก พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ไม่ครอบคลุมการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ และในขณะเดียวกันก็มิได้มีกฎหมายเฉพาะๆ ที่จะคุ้มครองแรงงานนนอกระบบอย่างเพียงพอ จากการสำรวจพบว่า แรงงานนอกระบบประสบอุบัติเหตุจากการทำงานถึง 2.9 ล้านคน ซึ่งการรักษาโดยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายและอุบัติเหตุหรือโรคที่เกิดจากการทำงานทั้งหมด

ดังนั้น จึงสมควรจัดสวัสดิการที่จำเป็นได้แก่ 1) เงินชดเชย การขาดรายได้เนื่องจากการเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุและไม่สามารถทำงานได้ 2) กรณีทุพพลภาพ 3) กรณีเสียชีวิต ได้ค่าทำศพและเงินสงเคราะห์บุตรของผู้เสียชีวิต และ 4) กรณีชราภาพ และสำนักงานประกันสังคมต้องออกแบบการบริหารกองทุนที่จะจัดตั้งขึ้นนี้โดยเน้นการมีส่วนร่วมของแรงงานนนอกระบบในฐานะเจ้าของกองทุนที่แท้จริง
แรงงานนอกระบบ และกฎหมายคุ้มครอง ในระบบประกันสังคม

ปัจจุบันแรงงานนอกระบบ ได้มีการเรียกร้องสิทธิของตนเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองอย่างรอบด้าน โดยเครือข่ายแรงงานนอกระบบ ได้นำเสนอข้อเสนอให้กระทรวงแรงงานเร่งออก พ.ร.บ.คุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนาแรงงานในงานรับไปทำที่บ้าน พ.ศ. ... รวมทั้งระบุให้กระทรวงแรงงานมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการขยายประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ โดยยึดหลักการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ทุกคนจ่ายเงินสมทบตามความสามารถและได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครองเท่าเทียมกัน เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติ และพิจารณากำหนดสิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียมกับแรงงานในระบบ โดยมีแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบของเครือข่ายแรงงานนอกระบบ ดังนี้

1. พ.ร.บ. คุ้มครองส่งเสริมและพัฒนาผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ.... ที่ผ่านมามีร่าง พ.ร.บ. 2 ฉบับ (ฉบับกระทรวงแรงงาน และ ฉบับเครือข่ายแรงงานนอกระบบ) ขับเคลื่อนคู่ขนานกัน แต่ยังคงอยู่ในระหว่างการปรับปรุงแก้ไข และตรวจสอบโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทิศทางในระยะต่อไป คือ ขับเคลื่อนและผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ฉบับเครือข่ายใหม่ และในขณะเดียวกันจะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อผลักดันร่วมกับแกนนำเครือข่ายและช่องทาง Lobbing กับแกนนำคนสำคัญของพรรคการเมืองและเลขาธิการรัฐมนตรี
2. นโยบายขยายการคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ สถานการณ์ที่ผ่านมา ได้มีการรณรงค์ผ่านคณะทำงานพัฒนานโยบายสาธารณะของแผนงาน และผลักดันผ่านคณะอนุกรรมการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายประกันสังคมแรงงานนอกระบบ และ ได้กำหนดแนวทางร่วมกันดังนี้ 1). จัดตั้งคณะทำงานศึกษาและแก้ไขมาตรา 39 และมาตรา 40 ใน พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 เพื่อให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ 2). นิยามสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นและสอดคล้องกับความต้องการปัญหาของแรงงานนอกระบบและจัดทำระบบสิทธิประโยชน์พร้อมกับอัตราเงินสมทบและเงินอุดหนุน 3). ริเริ่มกับกลุ่มแรงงานนอกระบบที่มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมในลักษณะ Action Research เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของแรงงานนอกระบบ
3. ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมสถาบันความปลอดภัย (ฉบับบูรณาการ) สถานการณ์ปัจจุบัน ได้มีการล่ารายชื่อ 10,000 ชื่อ โดยมีเครือข่ายแรงงานนอกระบบร่วมด้วยเพื่อผลักดันร่าง พ.ร.บ.ฯ แต่จากการวิเคราะห์ของคณะทำงานนโยบายพบว่า ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบและในหลายประเด็น เช่น การนำเงินกองทุนทดแทน มาบริหารเอง และอื่นๆ ยังไม่เหมาะสมหรือเป็นไปได้ยาก ทิศทางในระยะต่อไป คือ การวิเคราะห์ช่องว่างและศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ รวมถึงการปรับปรุงบางมาตราดังตัวอย่างที่กล่าวถึงให้มีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้
4. นโยบายเกี่ยวกับสวัสดิการสังคม : ได้เข้าร่วมกระบวนการขับเคลื่อนกับกลุ่มนโยบายการออม กระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง เกี่ยวกับบำเหน็จบำนาญผู้สูงอายุ ซึ่งแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักหนึ่งของการสร้างระบบการออมในระยะยาวเพื่อเป็นบำเหน็จบำนาญชราภาพ แต่ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน เพราะมีนโยบายที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกัน 3 นโยบาย คือ พ.ร.บ.ส่งเสริมสวัสดิการสังคมแห่งชาติ นโยบายบำนาญชราภาพ และนโยบายขยายประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ
5. ในส่วนของเกษตรพันธสัญญา มุ่งเน้นการพัฒนามาตรการเชิงบริหาร เพื่อการคุ้มครองสัญญาที่เป็นธรรม

สรุป
ระบบประกันสังคมในประเทศไทยนั้น นับว่าเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการพัฒนา ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เนื่องจากมีการออกนโยบายจากฝ่ายบริหาร และมีหน่วยงานต่างๆ เข้ามารับผิดชอบ ซึ่งในการดำเนินการจริงนั้น ได้เกิดปัญหาจำนวนมาก อาทิ ฐานะทางการเงินของรัฐบาลอาจไม่เพียงพอต่อระบบประกันสังคมในรูปแบบต่างๆ อีกทั้งบริการของระบบประกันสังคมนั้นยังมีความไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ ปัญหาของแรงงานนอกระบบ ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองนับว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ถูกจับตามอง และได้มีการริเริ่มเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนั้น หากต้องการพัฒนาระบบประกันสังคมให้เข้มแข็ง ควรเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับประชาชน และตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินการ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาต่อไปอย่างมีคุณภาพ

สามสิบบาทรักษาทุกโรค ความสำเร็ขจองประชานิยม


นางสาวรติมาส นรจิตร์


จากวาทกรรมการพัฒนาที่ผู้นำไทยนำเข้ามาจากตะวันตกนับตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2เป็นต้นมานั้น การพัฒนาก็ได้เข้ามามีบทบาทนำในนโยบายต่างๆที่รัฐดำเนินการ ทั้งนี้การพัฒนาตามความเป็นจริงแล้วได้ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆมากมาย และหนึ่งในปัญหาที่สำคัญก็คือ ปัญหาการเหลื่อมล้ำทางสังคมซึ่งเกิดจากภายใต้สังคมพัฒนาที่เน้นด้านเศรษฐกิจเป็นหลักและเดินในแนวทางของระบบทุนนิยมที่ยึดปรัชญาการแข่งขันโดยเสรี โดยเปิดช่องทางให้กับคนที่มีโอกาสและมีเงินทุนมากกว่า ดังนั้นจึงเกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคมไทยในด้านต่างๆ หนึ่งในนั้นคือในด้านสาธารณสุข


สามสิบบาทรักษาทุกโรค นับเป็นนโยบายหนึ่งที่สำคัญของพรรคไทยรักไทยในการรณรงค์เลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2544และเมื่อได้รับจัดตั้งเป็นรัฐบาลก็ได้สานต่อนโยบายนี้อย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อวันที่ 1เมษายน พ.ศ.2544 ซึ่งนโยบายนี้อำนวยประโยชน์ให้แก่ประชาชนถึง 47.5 ล้านคน คิดเป็น 75% ของประชากรทั้งประเทศ อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่อาจไม่ทราบว่าเบื้องหลังของโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคนั้น คือแนวคิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่ง ผู้ที่ริเริ่มผลักดันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศไทยคือ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ซึ่งจากหนังสือบนเส้นทางสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เขียนโดยหมอสงวนเองนั้นได้ถึงพัฒนาการของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศไทยว่า นับตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ก็ได้มีความฝันที่จะทำอย่างใดจึงจะสามารถทำให้ประชาชนทุกคนมีที่พึ่งพาได้ในด้านสุขภาพ จึงได้ดำเนินการผลักดันการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ในมิติต่างๆทั้งในและนอกประเทศ ทั้งยังได้ทดลองจริงโดยการทำโครงการนำร่องในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา พะเยา สงขลา ฯลฯ ทำให้มีความมั่นใจพอสมควรว่ามีบุคลากรทางด้านนี้เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ได้มีการประสานกับองค์กรเอกชนและประชาสังคมต่างๆเพื่อเคลื่อนไหวในเรื่องนี้โดยการรวบรวมแรงสนับสนุนจากประชาชนเกิน 50,000 รายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายหลักประกันสุขภาพต่อรัฐสภาจนสำเร็จ จนเกิดเป็นพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545ขึ้น และเมื่อในปีพ.ศ.2543 หมอสงวนถูกชวนให้ไปเสนอนโยบายด้านสาธารณสุขเพื่อใช้ในการเลือกตั้งต่อพรรคไทยรักไทย ซึ่งนโยบายการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ถูกให้ความสำคัญดังนั้นพรรคไทยรักไทยจึงนำนโยบายดังกล่าวมาปรับเป็นนโยบายภายใต้ชื่อ “โครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค”


อย่างไรก็ตามการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแม้จะมีการกล่าวถึงกันมากในวงนักวิชาการ ข้าราชการ หรือแม้แต่ในหมู่องค์กรพัฒนาเอกชน แต่การสื่อความหมายกับประชาชนทั่วไปเมื่อใช้สื่อโดยใช้คำว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ฟังดูแล้วไม่ชัดเจนว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร จนเมื่อพรรคไทยรักไทยได้สะท้อนเป้าหมายของการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าออกมาเป็นโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค จึงทำให้ประชาชนมีความเข้าใจในเรื่องของการสร้างหลักประกันสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่รู้จักกันในนามโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค นับเป็นรูปธรรมหนึ่งของนโยบายรัฐที่มุ่งเน้นรองรับกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ ในแนวทางของความเป็นรัฐสวัสดิการ ที่จะมอบสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลอย่างถ้วนหน้าแก่ประชาชนทุกคน ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พศ.2545 มาตรา 5 กำหนดให้บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติ ซึ่งบุคคลในที่นี้หมายถึง บุคคลที่มีสัญชาติ ไทย ดังนั้นผู้มีสิทธิได้รับบัตรทองในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคคือบุคคลที่มีสัญชาติไทย มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และไม่มีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลอื่นใดที่รัฐจัดให้ อาทิ ผู้มีสิทธิตามพระราชบัญญัติประกันสังคม เช่น ลูกจ้างที่ทำงานในกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปยกเว้น ลูกจ้างทำงานบ้าน หาบเร่ แผงลอย หรือลูกจ้างของบุคคลธรรมดาที่ไม่มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย ผู้มีสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล เช่น ข้าราชการ ลูกจ้าง ประจำของส่วนราชการ และครอบครัว ผู้อยู่ในความคุ้มครองของหลักประกันสุขภาพอื่นที่รัฐจัดให้ เช่น พนักงานรัฐวิสาหกิจพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ในองค์กรอิสระ ครูโรงเรียนเอกชนในระบบและในส่วนสิทธิที่ประชาชนจะได้รับเมื่อใช้บัตรทองในโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค ในด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการควบคุมโรค ได้แก่ การตรวจและดูแลเพื่อส่งเสริมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ การดูแลสุขภาพเด็กพัฒนาการและภาวะโภชนาการ รวมถึงการให้ภูมิคุ้มกันโรคตามแผนงานการให้ภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ การตรวจสุขภาพประชาชนทั่วไปและกลุ่มเสี่ยง การวางแผนครอบครัว (ยาคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย ห่วงอนามัย ยาฝังคุมกำเนิด และการทำหมันถาวร) ยาต้านไวรัสเอดส์กรณีป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่ตั้งครรภ์สู่ลูก การเยี่ยมบ้าน และการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน การให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ผู้รับบริการในระดับบุคคลและครอบครัว การให้คำปรึกษา (counseling) และสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปาก ได้แก่ การตรวจสุขภาพช่องปาก การแนะนำด้านทันตสุขภาพ การให้ฟลูออไรด์เสริมในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรคฟันผุ เช่น กลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยฉายรังสีบริเวณศีรษะและลำคอ รวมทั้งการเคลือบหลุมร่องฟัน ในด้านการตรวจวินิจฉัย ได้แก่ การตรวจ การวินิจฉัย การรักษา และการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์จนสิ้นสุดการรักษาทั้งนี้ รวมถึงการแพทย์ทางเลือกที่ผ่านการรับรองของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การคลอดบุตร รวมกันไม่เกิน 2 ครั้ง (กรณีบุตรคลอดแล้วรอดออกมามีชีวิต)โดยนับตั้งแต่ใช้สิทธิในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าค่าอาหาร และค่าห้องสามัญ การถอนฟัน การอุดฟัน การขูดหินปูน การทำฟันปลอมฐานพลาสติก การรักษาโพรงประสาท ฟันน้ำนม และการใส่เพดานเทียมในเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ ยาและเวชภัณฑ์ตามกรอบบัญชียาหลักแห่งชาติ การจัดส่งต่อเพื่อการรักษาระหว่างหน่วยบริการ


อย่างไรก็ตามก่อนหน้าที่จะมีโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค ประชาชนประมาณสองในสามถึงสามในสี่ของประเทศได้มีหลักประกันสุขภาพในรูปแบบต่างๆอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นโครงการสวัสดิการข้าราชการ โครงการสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาลสำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้ที่สังคมควรให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล หรือ สปร.(ซึ่งครอบคลุมผู้มีรายได้น้อย ว่างงาน ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้พิการ ผู้นำศาสนาและทหารผ่านศึก) ระบบประกันสังคม และโครงการบัตรสุขภาพ ทำให้ก่อนที่จะมีโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคนี้มีจำนวนผู้ไร้หลักประกันสุขภาพที่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลหรือระบบประกันสุขภาพทั้งของรัฐและเอกชนอยู่ระหว่างหนึ่งในสี่ถึงหนึ่งในสามของประชาชนทั้งประเทศเท่านั้น ดังนั้นจึงมีความเห็นต่อโครงการสามสิบบาทว่าเป็นเพียงการต่อยอดโครงการหลักประกันสุขภาพต่างๆที่ดำเนินการเป็นเวลานานแล้ว และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สามารถดำเนินโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคได้ทั่วประเทศในระยะเวลาเพียงปีเศษ ถึงแม้ว่าจะมีกระแสความไม่เห็นด้วยต่อโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงกระนั้นผลของการสำรวจโพลทุกโพลจากสำนักต่างๆที่ออกมาเป็นระยะๆชี้ให้เห็นว่าประชาชนพอใจกับโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคแม้แต่ในรัฐบาลปัจจุบันที่นายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรี ผลการสำรวจจากเอแบคโพลระบุว่าประชาชนยังสนับสนุนและเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลนี้จะสานต่อนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรคนี้ต่อถึง 93.8%

8.04.2551

FDI: Foreign direct investment



แปลตามตัวก็คือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศตามความหมายดั้งเดิมหมายถึงบริษัทๆหนึ่งจากประเทศๆหนึ่ง ได้สร้างการลงทุนทางกายภาคโดยการสร้างหน่วยการผลิตในประเทศอื่น ซึ่งตามความหมายนี้ สามารถรวมไปถึงการลงทุนที่สร้างผลประโยชน์สุดท้ายในกิจการ นอกเหนือไปจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของผู้ลงทุน มีการศึกษาวิจัยปริมาณการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศโดยเริ่มตั้งแต่ปี 1945 โดยใช้ทฤษฏีของบริษัทข้ามชาติ(Theory of Multinational Corporation) อธิบาย เช่น ทฤษฏีดั้งเดิม H-O-S (Heckscher-Ohlin-Samuelson) สรุปว่า ประเทศที่มีปัจจัยทุนมาก มีทางเลือก อยู่ 2 ทาง ที่จะทำให้ ตนได้เปรียบทางการค้า คือการผลิตสินค้าที่มีลักษณะทุนเข้มข้น (คือใช้เงินหรือทรัพยากรในการผลิตที่สูง) ไปยังประเทศที่ไม่ได้เปรียบในการผลิตสินค้านั้น หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศแทน ทำให้เกิดการย้ายเงินทุนระหว่างประเทศและไปผลิตสินค้าที่มีทุนเข้มข้นในประเทศเหล่านั้นแทน ดังนั้น ปริมาณการค้าระหว่างประเทศ ระหว่างประเทศเจ้าของทุนกับประเทศที่รับลงทุนจะมีปริมาณที่ลดลง
แต่ทฤษฏีการค้าระหว่างประเทศสมัยใหม่ได้มีการใช้แนวคิดขององค์กรอุตสาหกรรม ซึ่งแย้งกับทฤษฏีที่ผ่านมาคือ การค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหรรมเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเกิดได้มากขึ้นเมื่อผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าที่มีความหลากหลาย นอกจากนี้บางอุตสาหกรรมยังต้องมีการพึ่งพิงเทคโนโลยีเฉพาะทาง เทคโนโลยีแต่ละด้านช่วยส่งเสริมความสามารถหลักขององค์กรนั้นๆได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าต่ำลง และสามารถส่งออกสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการค้าระหว่างประเทศจะเป็นปัจจัยที่เกื้อกูลกับปริมาณการลงทุนในต่างประเทศ และขณะเดียวกันการลงทุนในต่างประเทศก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการค้าระหว่างประเทศตามมาด้วยเช่นกัน
หากเรามองในแง่ของวาทกรรม จะพบว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศนี้ เป็นส่วนหนึ่งของผลจากวาทกรรมการพัฒนา คือเป็นการลงทุนจากประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ใช้ประโยชน์จากวาทกรรมที่ตัวเองสร้างขึ้นให้ประเทศในโลกที่ 3 เห็นดีเห็นงามไปด้วยในฐานะเป็นแหล่งทรัพยากรที่สมบูรณ์ แรงงานราคาถูก กฎหมายด้านการจักการสิ่งแวดล้อมที่ไม่เข้มงวด ฯลฯ ใช้ข้อได้เปรียบในด้านของการมีเงินทุน แสดงให้เห็นถึงข้อดีของการลงทุนต่างๆนานา เช่น จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน ฯลฯ ซึ่งประเทศโลกที่ 3 ก็มักจะเห็นด้วย เพราะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรม การค้า การลงทุน ทัดเทียมเข้าใกล้ประเทศที่พัฒนาแล้ว
FDI ในไทย
จากเอกสารประกอบการสัมมนาของดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังสี ได้กล่าวว่า FDI ยุคแรกในไทยเกิดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1-2 ซึ่งเป็นยุคที่ผลิตทดแทนการนำเข้า เน้นหนักในสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานแบบเข้มข้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมูลค่าสูง เนื่องจากนำเข้าชิ้นส่วนการผลิตและสินค้าทุนจำนวนมากแต่ไม่สามารถสร้างเงินตราต่างประเทศ และปัญหาการขาดประสิทธิภาพในการผลิต
เหตุการณ์ Plaza Accord ปี 2528 ที่ส่งผลให้ค่าเงินของประเทศญี่ปุ่น มีค่าสูงขึ้นมาก ทำให้ต้องย้ายฐานการผลิตมาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีนและประเทศสังคมนิยมในอินโดจีนยังไม่เปิดประเทศ จึงไม่มีคู่แข่งขันในการดึงดูด FDI ทำให้ญี่ปุ่นกลายมาเป็นผู้ลงทุนในไทยมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศที่มาลงทุนในไทยจนถึงปัจจุบัน
ผลกระทบ ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ


ข้อดี
1.การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทำให้เกิด การถ่ายทอดทางเทคโนโลยี ความรู้ในรูปแบบต่างๆ
2.ได้ในด้านการพัฒนาบุคลากรในประเทศให้มีประสิทธิภาพ
3.ได้ภาษี ซึ่งถือเป็นรายได้ที่สำคัญของประเทศ แต่ประเทศส่วนใหญ่มักมีการดึงดูดนักลงทุนโดยการลดหย่อนภาษี
4.แรงผลักดันของสังคมของผู้ทีมีส่วนได้เสียที่มีมากขึ้นทำให้บริษัทข้ามชาติจำเป็นต้องมีนโยบายออกมาเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม

ข้อเสีย
1.ในแง่ของการถ่ายทอดเทคโนโลยี อาจมีการถ่ายทอดให้ไม่หมด ถ่ายทอดเพียงเฉพาะส่วนทำให้ไม่ได้เป็นการช่วยให้เกิดองค์ความรู้ต่อเรื่องการผลิตนั้นจริงๆ
2.เป็นการสร้างความชอบธรรมในความต้องการดึงดูดทรัพยากร การขจัดอุตสาหกรรมที่ประเทศเหล่านั้นไม่ต้องการ
3.กระทบต่อบริษัทภายในประเทศ เนื่องจากบริษัทข้ามชาติมักจะมีอำนาจทางการตลาดที่สูงกว่าบริษัทในประเทศ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้
4.ประชาชนในประเทศที่รับการลงทุนมักจะได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการ เช่นปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม สุขภาพของประชาชนในบริเวณแหล่งอุตสาหกรรมเป็นต้น


สำหรับการคาดการณ์ของการลงโดยตรงจากต่างชาติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ในปี2551 คือตั้งเป้าไว้ที่ 6แสนล้านบาท ถึงแม้ว่ามูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของBOI ลดลงเมื่อเทียบกับ2550ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาขอส่งเสริมการลงทุน และจะมีโครงการเล็กๆที่ตามโครงการใหญ่เข้ามาอีก ดังนั้นยอดการลงทุนจะไม่ตกไปจากที่ประมาณการไว้ที่600000ล้านบาท

ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

นายกิติคุณ ตั้งคำ

"ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาใหญ่ในสังคมไทย"

ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย นั้นได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง การกระจายรายได้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำขึ้นในสังคม ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาของระบบทุนนิยมเสรียุคใหม่ ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสถานการณ์การแก้ไขปัญหาความยากจนจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังเกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นในสังคมไทย ซึ่งในบริบททางเศรษฐศาสตร์แล้วต้องถือว่าความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความไม่สำเร็จในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนึ่ง

สาเหตุหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ มีดังต่อไปนี้ 1) ความแตกต่างในความสามารถของมนุษย์แต่ละคน 2) ความแตกต่างในทรัพย์สินที่ครอบครองอยู่ 3) โอกาสในการศึกษาแตกต่างกัน 4) การดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล 5) การว่างงาน 6) ภาวะเงินเฟ้อ และ 7) นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่เสมอภาค

ตัวชี้วัดความเหลื่อมล้ำ
การวัดการกระจายรายได้หรือความไม่เท่าเทียมกันด้านรายได้ เป็นการวิเคราะห์ที่สะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคม สิ่งที่ใช้เป็นตัวชี้วัดความเหลื่อมล้ำที่นิยมใช้กันมาก มี 2 วิธี คือ การหาค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini Coefficient) และการหาสัดส่วนรายได้ในแต่ละขั้นรายได้ (Income Share)2
การหาค่าสัมประสิทธิ์จีนี หรือ สัมประสิทธิ์การกระจายรายได้ ซึ่งเป็นตัวที่ใช้อธิบายในกลุ่ม Lorenz Curve ค่าจินีถูกกำหนดจากพื้นที่ระหว่าง Lorenz Curve กับเส้นการกระจรายรายได้สัมบูรณ์ หารด้วยพื้นที่ใต้เส้นทแยงมุมทั้งหมด โดยสัมประสิทธิ์จีนี จะมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 1 โดยหากมีค่าเข้าใกล้ศูนย์ หมายถึงมีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมในสังคม แต่หากค่าเข้าใกล้หนึ่งนั้นหมายถึงการกระจายรายได้ยังไม่เป็นธรรม3
การหาสัดส่วนรายได้แต่ละขั้นรายได้ จะทำโดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า Quintile Analysis คือ การแบ่งกลุ่มประชากรออกเป็น 5 กลุ่มเท่า ๆ กัน จำแนกตามรายได้จากจนที่สุด (ชั้นรายได้ที่ 1) จนถึงรวยที่สุด (ชั้นรายได้ที่ 5) และพิจารณาสัดส่วนรายได้ในแต่ละกลุ่ม กลุ่มไหนมีสัดส่วนรายได้มากที่สุด และมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ข้อเสนอแนะ/แนวคิดทฤษฎีของนักวิชาการ
ในช่วงแรกของการพัฒนาเศรษฐกิจนั้น ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้อาจจะเพิ่มสูงขึ้นด้วยสาเหตุสำคัญว่าผู้ประกอบการที่ลงทุนทำการผลิตจะต้องได้รับผลประโยชน์ตอบแทนหรือกำไรที่สูงพอให้เป็นเหตุจูงใจในการลงทุนต่อไป ทำให้ความมั่งคั่งไปกระจุกตัวอยู่ในคนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ และเมื่อการพัฒนาดำเนินต่อไปถึงระดับหนึ่งความเหลื่อมล้ำนี้ก็จะลดลงก็จริง แต่การลดลงความเหลื่อมล้ำอาจจะใช้เวลานานเกินไป สร้างผลเสียให้แก่ระบบเศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้ และที่น่าวิตกไปกว่านั้นก็คือหากความเหลื่อมล้ำขึ้นสูงมาก โอกาสที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงก็จะทำได้ยากขึ้น โดยปกติเรามักจะให้หน้าที่การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้เป็นหน้าที่ของภาครัฐหรือรัฐบาล ด้วยเหตุที่ว่าเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการบังคับให้ปฏิบัติตาม และอำนาจในการลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม แนวนโยบายที่รัฐบาลจะทำได้เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้อาจจะประกอบด้วย 3 แนวนโยบาย คือ 1) การอาศัยกลไกตลาดเป็นเครื่องมือในการสร้างการแข่งขัน 2) การใช้นโยบายการคลังโดยผ่านนโยบายภาษีอากรและการใช้จ่ายสาธารณะ 3) การใช้นโยบายทางด้านอื่นๆ ที่จะเป็นการเพิ่มศักยภาพหรือโอกาสของกลุ่มคนยากจน
นักวิชาการหลายท่านเสนอทฤษฎีที่พยายามจะอธิบายปรากฏการณ์ของความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นไว้อย่างน่าสนใจ โดยสรุปใจความได้ว่า กระแสโลกาภิวัตน์อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวย/คนจนเพิ่มขึ้น อีกทั้งทำวิจัยเพื่อติดตามสถานการณ์ความยากจน พร้อมกับอธิบายสาเหตุของความเหลื่อมล้ำของรายได้และความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ ดังนี้
ทฤษฎีที่ 1 อคติของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี - ต้องยอมรับว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนั้นเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจส่วนรวม แต่ว่าไม่ได้เพิ่มการจ้างงานได้มากนัก นอกจากนี้ยังมีอคติที่จะเลือกจ้างบุคคลที่มีความรู้สูงไปทำงานด้วย โดยจ่ายเงินเดือนให้สูง แต่ว่าเปิดรับคนจำนวนน้อยมาก ในขณะที่แรงงานของประเทศไทยโดยส่วนใหญ่ที่ด้อยโอกาส ด้อยการศึกษา ถูกผลักให้จำเป็นต้องรับงานที่ ใช้แรง และมีค่าจ้างต่ำ หรือการรับงานไปทำที่บ้านเป็นชิ้น โดยปราศจากสวัสดิการจากโรงงาน ปรากฏการณ์นี้รวมเรียกสั้นๆ ว่า biased technological progress
ทฤษฎีที่ 2 การย้ายแรงงานข้ามประเทศ กระแสโลกาภิวัตน์เปิดโอกาสให้ทุน-เทคโนโลยี-แรงงาน เคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี ซึ่งมีทั้งส่วนดีและไม่ดี ในด้านการผลิตนั้นเป็นเรื่องดีและยอมรับว่า มีประโยชน์ อย่างชัดเจน เพราะว่าผู้ประกอบการมีหนทางเลือกในการจ้างแรงงาน โดยเฉพาะอย่างสำหรับ แรงงานระดับล่าง คือเลือกจ้างแรงงานคนไทยและแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ผลลัพธ์ต่อค่าจ้างแรงงานระดับล่างจึงเป็นทางลบ แรงงานระดับล่างขาดพลังในการต่อรองค่าจ้างแรงงาน อาจจะมีการปรับปรุงค่าจ้างเป็นครั้งคราว โดยสรุปคือกระแสโลกาภิวัตน์เป็นสาเหตุหนึ่งของ การกดค่าจ้าง สำหรับแรงงานขั้นต่ำ แรงงานไทยซึ่งมีจำนวนนับสิบล้านคน จึงตกในสภาพจำยอม รับค่าจ้างขั้นต่ำที่ถูกกด ยังดีกว่าการตกงาน
ทฤษฎีที่ 3 การรุกของทุนขนาดใหญ่ โลกาภิวัตน์เปิดโอกาสให้เกิดการจับมือของทุนขนาดใหญ่ ผลิตสินค้าเพื่อป้อนตลาดขนาดใหญ่ โดยอาศัยความได้เปรียบจากขนาดต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า บัดนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าทุนขนาดใหญ่ได้เบียดพื้นที่ที่เคยเป็นแหล่งทำมาหากินของทุนขนาดเล็ก โรงงานอุตสาหกรรมไฮเทคที่ถือว่าเป็นชั้นนำระดับโลกมีโอกาสกระจายการผลิตออกไปประเทศด้อยพัฒนา ซึ่งมีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า ตั้งใกล้กับแหล่งปัจจัยการผลิต
อนึ่ง การที่โรงงานมีสเกลการผลิตขนาดใหญ่ยิ่งเปิดโอกาสให้ใช้เครื่องจักรกล คอมพิวเตอร์และ หุ่นยนต์ มาทำงานแทนแรงงานมากขึ้น โลกาภิวัตน์ยังหมายความถึงการถ่ายเททางด้านวัฒนธรรม การเผยแพร่ลัทธิบริโภคนิยม - ศิลปินชั้นนำและนักกีฬาชั้นนำซึ่งในอดีตมี แฟนคลับ ภายในเมืองหรือในประเทศของตนเอง ปัจจุบันนี้ แฟนคลับ ได้ขยายออกไปทั่วโลก
ทฤษฎีที่ 4 ความสำเร็จและความล้มเหลวของสาขาการเกษตรและการผลิตขั้นปฐม ความจริงต้องยอมรับว่ามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในสาขาการเกษตรเป็นอย่างมาก ตัวอย่างที่ประจักษ์ได้ชัดคือ พื้นที่การเกษตรลดลงอย่างมาก แต่ว่ายังสามารถผลิตได้เท่าเดิมหรือแม้แต่เพิ่มขึ้น เพราะใช้พันธุ์ใหม่ ใช้ปุ๋ย หรือผลิตหลายฤดูกาลภายในปีเดียว
ทฤษฎีที่ 5 ความล้มเหลวของนโยบายภาครัฐ - ซึ่งจำแนกออกเป็นสองส่วน ความล้มเหลวในส่วนแรก (ย่อว่า รลล1) หมายถึง ความไม่สามารถของภาครัฐในการปรับปรุงนโยบายภาษีอากร ให้มีลักษณะก้าวหน้า เพื่อเป็นเครื่องมือของการกระจายรายได้ โครงสร้างภาษีของไทยนั้นกว่าร้อยละ 60 เป็นการเก็บภาษีทางอ้อม จากภาษีมูลค่าเพิ่ม จากภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร ซึ่งเป็นการเก็บจากฐานการบริโภคเป็นสำคัญ

จะเห็นได้ว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้นเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการพัฒนาตามแนวทางของชาติตะวันตกและส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อประเทศไทย

EXIM Thailand (Export-Import Bank of Thailand)


นายวิชพัฒน์ องค์ทองคำ



ในสภาพของโลกยุคปัจจุบัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นสภาพสังคมสมัยใหม่ และมีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ได้กลายเป็นปัจจัยหลักของสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากระบบทุนนิยมที่วิวัฒนาการเรื่อยมาจนกลายเป็นกระแสแนวคิดหลักที่เปลี่ยนแปลงสังคมสมัยใหม่ที่มีลักษณะแตกต่างจากสังคมโบราณอย่างสิ้นเชิง ประกอบกับผลของการที่มีตัวชี้วัดระดับของการพัฒนาของแต่ละประเทศมาผูกอยู่กับสภาพความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ จึงทำให้แต่ละประเทศพยายามหายุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สามารถทำให้ประเทศของตนได้รับประโยชน์จากระบบเศรษฐกิจแบบใหม่(Liberalism) เพราะฉะนั้นยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศจึงถูกยกเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาความมั่นคั่งทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างระดับการพัฒนาในด้านอื่นๆของสังคมต่อไป

สำหรับในประเทศไทยระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีหลายๆอย่างในกระบวนการผลิตในหลายๆภาคส่วน ได้เป็นส่วนในการสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศของไทยให้เป็นฐานในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ดังจะเห็นได้จากตัวเลขอัตราของการส่งออกของไทยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล จากช่วงปี2506ที่คิดอัตราส่งออกได้เพียง13.0ของผลิตภัณท์มวลรวมของประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ29.7ในปี2536 ดังนั้นภาคการส่งออกของไทยจึงเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทวีบทบาทความสำคัญ

แต่กระนั้นด้วยเหตุของการแข่งขันอย่างรุนแรงจากประเทศคู่แข่งทางเศรษฐกิจ ตลอดจนมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศผู้นำเข้า ประกอบกับยังไม่มีสถาบันทางการเงินที่ให้บริการด้านการส่งออกโดยเฉพาะ แม้จะมีอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของวงเงินบริการกู้ยืมที่จำกัดมากจึงไม่สามารถสนองตอบความต้องการของผู้ส่งออกได้ครบถ้วน อีกทั้งยังขาดปัจจัยบริการทางการเงินอื่นๆที่มีความจำเป็นต่อผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยอย่างมีประสิทธิภาพเช่น บริการสินเชื่อ เป็นต้น

ผลจากข้อจำกัดต่างๆดังกล่าว รัฐบาลจึงเล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่จะเข้ามาดูแลโดยตรงในเรื่องการให้บริการทางการเงินเพื่อธุรกิจส่งออกและธุรกิจที่นำมาซึ่งเงินตราต่างประเทศ ดังนั้นในปี2536จึงได้มีการออกพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยพ.ศ.2536 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่7กันยายน2536 เพื่อจัดตั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)” หรือ “EXIM Thailand”ขึ้น โดยมีฐานะเป็นสถาบันทางการเงินเฉพาะกิจของรัฐ สังกัดกระทรวงการคลัง ด้วยทุนประเดิม2500ล้านบาทจากงบประมาณของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งภายหลังในวันที่17กุมภาพันธ์2537 EXIMจึงได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ

โดยวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งEXIM ก็เพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคการส่งออก การนำเข้าเพื่อส่งออก และการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินตราต่างประเทศ มากไปกว่านั้นEXIMยังมีหน้าที่ในการพยายามขยายฐานการค้าของไทยให้เจริญเติบโตด้วยการขยายฐานกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศให้มั่นคงอีกด้วย

ในพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยได้กำหนดขอบเขตอำนาจในการทำธุรกิจเอาไว้อย่างกว้างขวาง โดยEXIMสามารถให้สินเชื่อได้ทุกรูปแบบเช่นสินเชื่อระยะสั้น สินเชื่อระยะยาว สินเชื่อในประเทศสินเชื่อต่างประเทศ โดยสามารถทำธุรกิจได้ทั้งที่เป็นสกุลเงินบาท และสกุลเงินตราต่างประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถทำการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินทุกประเภททั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย EXIMยังสามารถออกตราสารการเงินระยะสั้นและระยะยาว เพื่อทำการขายให้แก่สถาบันการเงินและประชาชนทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าEXIMสามารถทำธุรกิจทุกประเภทที่ธนาคารพาณิชย์ทำได้ ยกเว้นเพียงการรับฝากเงินจากประชาชนทั่วไปเท่านั้น ที่ไม่ได้ถือเป็นหน้าที่ของEXIM bank

ต่อมาในปี2542 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยฉบับที่สอง ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจของEXIMเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนให้ชัดเจนและกว้างขึ้น เพื่อให้EXIMเป็นธนาคารที่สามารถสนับสนุนนักลงทุนไทยในต่างประเทศได้อย่างเต็มที่ และเพื่อให้EXIMสามารถขยายการสนันสนุนทางการเงินแก่นักลงทุนในประเทศที่ประกอบกิจการเกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลดการสูญเสียหรือสนับสนุนให้ได้มาซึ่งเงินตราต่างประเทศ

ระบบการบริหารงานของธนาคารจะตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับกิจการดูแลกิจการที่ดี(Good Corporate Governance) โดยจะมีคณะกรรมการธนาคารซึ่งมาจากการแต่งตั้งทั้งสิ้นคอยเป็นผู้กำกับนโยบายการบริหารและกำกับดูแลกิจการของธนาคาร และยังมีหน้าที่ดูแลให้มีการทบทวนนโยบายการกำกับดูแลกิจการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายและภารกิจของธนาคารตามระยะเวลาที่คณะกรรมการธนาคารได้กำหนดเอาไว้ นอกจากนี้คณะกรรมการธนาคารยังต้องมอบหมายให้ฝ่ายจัดการนำเสนอนโยบายดังกล่าวไปกำหนดแนวทางปฎิบัติ พร้อมทั้งมีระบบรายงานผลการกำกับดูแลกิจการไว้ในรายงานประจำปี และนำเอาผลสำเร็จของภารกิจไปเผยแพร่ในเวปไซต์ของธนาคาร เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้ถึงภารกิจของธนาคารที่ได้ดำเนินการไปในรอบปีอย่างสม่ำเสมอ

ดังนั้นจากช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เราคงเห็นได้ว่าEXIM bankได้มีบทบาทในการร่วมสนับสนุนส่งเสริมภาคธุรกิจการส่งออกและการลงทุนเพื่อทำธุรกิจในต่างประเทศ จนทำให้หลายๆธุรกิจผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจมาได้ด้วยดี อีกทั้งEXIMยังเป็นสถาบันหนึ่งที่คอยช่วยส่งเสริมภาคธุรกิจไทยให้มั่นคงและสามารถแข่งขันกับคู่แข่งขันทางธุรกิจจากนานาประเทศได้ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์การดำเนินงานขององค์กรนี้

เราจึงไม่สามารถปฎิเศสได้ว่าEXIM bankถือเป็นองค์กรหนึ่งที่มีความสำคัญในการสร้างฐานความมั่นคงของภาคธุรกิจของไทยให้เติบโตแข็งแรง และสามารถไปยืนอยู่บนเวทีแข่งขันธุรกิจของโลกได้อย่างภาคภูมิ ซึ่งจากผลของเหตุนี้เอง จึงเป็นการส่งเสริมให้สภาพเศรษฐกิจของไทยมีความเจริญเติบโตมากขึ้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าระดับการพัฒนาในสังคมไทยก็ย่อมมีอัตราที่สูงขึ้นเช่นกัน เพราะเรามีทุนสำหรับทำการพัฒนามากยิ่งขึ้น ดังนั้นการมีองค์กรส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่ดีอยู่ในประเทศดังเช่นEXPORT-IMPORT bank of Thailandจึงถือเป็นแนวทางการสร้างระดับการพัฒนาในสังคมรูปแบบหนึ่งในโลกยุคปัจจุบัน